ตลอดระยะเวลากว่า 28 ปีในวงการบันเทิง นอกจากไม่มีข่าวด่างพร้อยแล้ว เขายังเป็นที่รักของประชาชนไม่เสื่อมคลาย เชื่อว่าหลายคนคงอยากรู้ว่าอะไรที่ทําให้ ก้อง – สหรัถ สังคปรีชา ผู้ชายอบอุ่นคนนี้ประสบความสําเร็จ วันนี้เขามาเผยเคล็ดลับการใช้ชีวิต การงาน และความรัก รวมถึงพลังของความเมตตากรุณาและการให้
คุณก้องเติบโตมาในครอบครัวแบบไหนคะ ได้ยินว่าตอนเด็กๆ ถูกสปอยล์มาไม่น้อยใช่ครับ ก่อน 10 ขวบผมเติบโตมาในครอบครัวใหญ่ คุณตาเป็นเจ้าของบ้าน มีคุณแม่ คุณป้า และคุณน้าอยู่รวมกัน ผมเป็นหลานคนแรก คุณตาจึงค่อนข้างเห่อและเลี้ยงแบบเอาอกเอาใจ ผมจึงแทบไม่ต้องทําอะไรเลย เพราะที่บ้านมีคนงานสิบกว่าคน ผมเรียกใช้ได้หมด
ตอนนั้นยังไม่รู้หรอกว่าตัวเองเอาแต่ใจ อยากได้อะไรก็เรียกพี่เลี้ยงมาทําให้ ไม่ต้องทําอะไรเอง เคยถึงขนาดหิวแล้วเขวี้ยงจานทิ้ง แต่ตอนนั้นยังเด็กมาก เลยไม่ค่อยรู้ตัว พอย้อนกลับไปคิดแล้วเป็นพฤติกรรมที่น่าเขกกบาลมาก(หัวเราะ)จนผมอายุสิบกว่าขวบ คุณพ่อก็ซื้อบ้านเองและแยกครอบครัวออกมา ผมถึงเลิกเป็นเด็กสปอยล์
คุณพ่อสอนอะไรบ้างคะคุณพ่อเน้นให้ผมรู้จักทําอะไรด้วยตนเอง พึ่งตัวเอง อย่างตอนเป็นเด็กนักเรียน ถ้าวันไหนผมลืมเอาอุปกรณ์เกี่ยวกับชุดลูกเสือไป เช่น พู่ ผ้าพันคอ เข็มขัด คุณพ่อจะไม่ยอมซื้อให้ใหม่ ทั้งที่สามารถซื้อได้และราคาไม่แพงด้วย แต่คุณพ่อปล่อยให้โดนครูตี ท่านสอนว่าไม่ควรลืม ถ้าวันไหนมีเรียนลูกเสือ ก่อนนอนต้องเตรียมอุปกรณ์ชุดลูกเสือไว้ให้พร้อมตั้งแต่นั้นมาผมไม่ลืมอีกเลย นอกจากนั้นคุณพ่อยังสอนให้ทําอะไรเอง ตอนเด็กๆ ผมจึงต้องเป็นลูกมือให้คุณพ่อแทบทุกเรื่อง เช่น ซ่อมรถปลูกต้นไม้ บางครั้งผมก็บ่นว่าทําไมต้องทํา คนใช้ก็มี ทําไมไม่ใช้ เวลาเห็นผมโกรธมากๆ คุณพ่อมักบอกว่า “วันหนึ่งก้องจะรู้เองว่าทําไมพ่อต้องทําแบบนี้” พอโตขึ้นมาผมถึงเห็นคําตอบที่พ่อพูดไว้ เพราะเราทําอะไรได้หลายอย่าง ในขณะที่คนอื่นทําไม่เป็น ถ้าวันนั้นคุณพ่อไม่สอน วันนี้ผมคงทําอะไรไม่เป็น
มีวิธีคิดและทําใจกับการสูญเสียคุณพ่อเมื่อไม่นานมานี้อย่างไรคะคุณพ่อป่วยมาประมาณปีกว่า พอรู้ผมก็พยายามทําใจ พาท่านไปพบแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ หาข้อมูลการรักษา หาอาหารดีๆ มาให้ท่าน และสิ่งสําคัญที่สุดคือให้กําลังใจท่าน โชคดีที่คุณพ่อไม่ท้อแท้ ไม่เศร้า เพราะท่านหวังว่าจะกลับมาหายดีอีกครั้งหนึ่งช่วง 5 – 6 เดือนหลังมานี้คุณพ่อเดินไม่ได้แล้ว เพราะกล้ามเนื้อขาหมดแรง ขยับไม่ได้ ต้องนอนอยู่แต่บนเตียงและเจ็บปวดทรมานมาก ยิ่งสองเดือนสุดท้ายคุณพ่อยิ่งทรุดหนัก เห็นอย่างนี้ผมยิ่งต้องทําใจมากขึ้น การเสียชีวิตของคุณพ่อทําให้ผมเข้าใจชีวิตมากขึ้นว่าคนเราต้องเกิด แก่ เจ็บ ตาย ไม่มีใครหนีพ้น นี่เป็นเพียงบทเรียนแรกที่เริ่มเข้ามาในชีวิต และจากนี้ไปผมคงพบการสูญเสียต่อไปเรื่อยๆ เพราะที่สุดแล้วคนเราก็ต้องล้มหายตายจากกันเป็นธรรมดาของชีวิต พอผมเข้าใจอย่างนี้ได้แล้วจึงทําใจได้ง่ายขึ้น
ทราบว่าสนใจเล่นดนตรีตั้งแต่เด็กๆผมเรียนโรงเรียนชายล้วน เวลาเลิกเรียน นักเรียนแบ่งเป็นสองกลุ่มคือกลุ่มเล่นกีฬาและกลุ่มเล่นดนตรี ผมเป็นกลุ่มที่ชอบไปห้องซ้อมดนตรีเพราะหลงใหลเสน่ห์ของดนตรี ผมมักไปกับกลุ่มเพื่อนที่เล่นดนตรี จนได้เข้าวงดนตรีกับเพื่อน ช่วงมัธยมต้นเล่นดนตรีป๊อกแป๊กๆ พอขึ้นมัธยมปลายถึงเริ่มฟอร์มวงเป็นเรื่องเป็นราว โดยเล่นงานเล็กๆ ก่อน เช่น งานวันเกิด งานแต่งงานครู งานห้องสมุด งานโรงเรียน พอเรียนจบ ม.6 เข้าเรียนมหาวิทยาลัยปี 1 ปี 2 ผมเริ่มเล่นเป็นอาชีพตามผับบาร์ มีพี่ชายของเพื่อนเปิดผับก็ไปขอเล่นเลย เงินเดือนเท่าไรก็เอา คือผมไม่ได้สนใจเรื่องเงินเดือน แค่อยากเล่นดนตรีมากกว่า เพราะเป็นความฝันของผม เล่นดนตรีอยู่สัก 2 ปี แกรมมี่ก็จับเซ็นสัญญาทําอัลบั้มนูโว คราวนี้แหละผมได้เล่นดนตรีทั้งชีวิต (หัวเราะ)
รู้สึกอย่างไรบ้างคะที่วันหนึ่งความฝันกลายเป็นจริงขึ้นมา ได้เป็นนักร้องที่ประสบความสําเร็จมีชื่อเสียงผมมีความสุขมาก จําได้ว่าวันที่นูโวได้ออกอัลบั้มครั้งแรกแล้วมีงานคอนเสิร์ต โอ้โห มีความสุขสุดขีดเหมือนกับว่าทั้งชีวิตเราฝันอยากเป็นนักดนตรี พอวันหนึ่งได้เริ่มเล่นอาชีพตามผับตามบาร์ก็รู้สึกว่าประสบความสําเร็จในจุดหนึ่งแล้วยิ่งพอได้ออกอัลบั้มได้เล่นคอนเสิร์ต ยิ่งรู้สึกเหมือนเราเรียนจบได้ปริญญาตรีมาอีกใบหนึ่ง มีความสุขมาก
วันที่รู้ตัวว่าเรามีชื่อเสียงแล้วคงเป็นวันที่ผมไปเล่นคอนเสิร์ตโลกดนตรี แล้วมีแฟนคลับมาจับมือและร้องไห้แบบคลั่งไคล้ ตอนนั้นผมตกใจมากเพราะไม่ได้คิดว่าตนเองเป็นซูเปอร์สตาร์ รู้สึกแค่ว่าเป็นนักดนตรีธรรมดาๆ ไม่เคยรู้ว่าคนดูมองเราเป็นนักดนตรีที่เขาอยากกรี๊ด อยากจับมือ แค่เห็นก็ร้องไห้แล้ว วันนั้นผมถึงได้รู้ว่าชีวิตมันเปลี่ยนไปแล้ว ไปไหนมาไหน จะเข้าโรงแรมก็ต้องมีการ์ดมากั้น เรียกว่าชีวิตเปลี่ยนไปเลย(ยิ้ม)
ตั้งแต่เข้ามาทํางานในวงการบันเทิงเจอปัญหาหรือเรื่องที่ไม่ชอบใจบ้างไหมคะปัญหาไม่ค่อยมีนะครับ แต่เรื่องที่รู้สึกคงเป็นเรื่องความเป็นส่วนตัวหายไป เพราะเราต้องโดนถ่ายรูปตลอดเวลาบางทีออกจากบ้าน หน้าตาผมเผ้ายังกระเซอะกระเซิงอยู่ พอขับรถไปถึงที่นัดถ่ายทํา ลงจากรถปุ๊บเจอกล้องเป็นสิบๆ ตัวมารุมถ่าย ผมจะรู้สึกว่ายังไม่พร้อม เพิ่งตื่น ตายังบวมอยู่ เลยคิดว่าไม่ค่อยเป็นส่วนตัวเท่าไหร่ หรือเวลาไปต่างจังหวัด พอลงจากเครื่องบินปุ๊บ มีแฟนคลับมารอรับ ขึ้นรถตู้ไปถึงโรงแรมนี่ยิ่งหนักเลย คราวนี้รอเป็นร้อย เปิดรถตู้มา โดนดึงต่างหู โดนดึงสร้อยไป รู้สึกว่าชีวิตส่วนตัวหายไปแล้ว แต่ผมก็เข้าใจนะว่าการมีชื่อเสียงบางครั้งก็ต้องแลกกับการสูญเสียอะไรไปสักอย่างแบบนี้แหละ
มีเคล็ดลับการทํางานอย่างไรที่ทําให้ได้รับความนิยมมานานขนาดนี้คะทําให้ดีที่สุด ตั้งใจทําทุกงาน เคารพผู้ร่วมงาน ให้เกียรติผู้ร่วมงานทุกคน ผมคิดว่าทุกอาชีพทําเองคนเดียวไม่ได้เพราะยังต้องมีผู้ร่วมงาน มีฝ่ายอื่นๆ อีก ดังนั้นถ้าอยากทํางานให้ดีและสมบูรณ์แบบก็ต้องให้เกียรติซึ่งกันและกัน นอกจากนั้นผมยังใช้ “พรหมวิหาร 4”ที่ช่วยให้การทํางานสะดวกสบายขึ้น พรหมวิหาร 4 คือ เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา เป็นเรื่องง่ายๆ ที่ทุกคนทําได้หมด โดยเฉพาะ 2 ข้อแรก เมตตาคือ ปรารถนาให้ผู้อื่นมีความสุข กรุณา คือ ปรารถนาให้ผู้อื่นพ้นทุกข์ พอเรามีเมตตากรุณาอย่างนี้แล้ว คนรอบข้างที่ได้รับความเมตตากรุณาก็จะให้ความรู้สึกดีๆ ให้ความรักคืนกลับมา เรียกว่าให้ไปก่อนเดี๋ยวก็ได้กลับมาเองพอทําแบบนี้บ่อยๆเราก็จะมีแต่ความสุข
ผมสนใจเรื่องพรหมวิหาร 4 เพราะคุณพ่อชอบให้หนังสือธรรมะ ชอบให้รู้เรื่องธรรมะ พอได้อ่านหนังสือเหล่านี้มันจะค่อยๆ ซึมซับมาเอง เวลานําเอาไปใช้ผมรู้สึกว่าชีวิตดีขึ้น มีแต่เรื่องดีๆ วิ่งเข้ามา เช่น เวลาไปไหนก็มีแต่คนคิดดีๆ กับเรามีแต่คนชื่นชม ไปไหนคนก็ต้อนรับ
รู้สึกอย่างไรที่ได้เป็นโค้ช The Voice ซึ่งเป็นบทบาทที่ทําหน้าที่ของการเป็นครูผมคิดว่างานนี้เป็นโอกาสดีอีกเรื่องที่เข้ามาในชีวิต ครั้งแรกผมปฏิเสธรายการไป แต่เขาตามผมอยู่เป็นเดือน คือตอนแรกผมไม่รู้ว่าจะเป็นอย่างไร เกิดมาไม่เคยเป็นโค้ช ไม่รู้จะไปสอนคนร้องเพลงอย่างไร จึงปฏิเสธไป จนรายการพยายามเกลี้ยกล่อมขอให้เข้ามาคุยหน่อย บอกถ้าไม่รับก็ไม่ตื๊อแล้ว แต่พอได้เข้าไปคุยถึงรู้ว่าไม่ยากอย่างที่คิด เมื่อตัดสินใจไปทําจริงๆ กลายเป็นเรื่องง่าย เพราะผมมีสิ่งเหล่านี้อยู่เต็มตัวเลย
ผมถูกพี่เต๋อ (เรวัต พุทธินันทน์) และพี่ๆ ในแกรมมี่เคี่ยวเข็ญมาหนักมาก เคยยืนร้องเพลงกับพี่เต๋อมาไม่รู้กี่สิบเพลง ร้องกันตั้งแต่บ่ายๆ ไปเสร็จตอนเช้าอีกวันหนึ่ง ทั้งที่ร้องแค่เพลงเดียว เพราะเราร้องโดยไม่มีเครื่องดนตรี ใช้เสียงร้องอย่างเดียว สมัยนั้นไม่มีคอมพิวเตอร์ช่วยเรื่องการร้องเพลงเหมือนสมัยนี้ ตอนนี้ร้องผิดร้องเพี้ยนมีคอมพิวเตอร์ช่วยได้ สมัยก่อนเป็นเทปจึงต้องร้องจริงๆ อย่างเดียว ผมโดนขับเคี่ยวมาเยอะมาก ทําให้มีสิ่งเหล่านี้อยู่ในตัวไม่รู้ตัว เช่น วิธีการร้องหนัก – เบา สั้น – ยาว การทํางานในห้องอัด ฯลฯ พอวันหนึ่งที่เราต้องมาสอนเด็กๆ ร้องเพลงว่าทําอย่างนี้สิ ขึ้นคอนเสิร์ตให้ร้องอย่างนี้นะ จึงสอนได้ ถือว่าโชคดีไป
ทราบว่าคุณก้องให้ความสําคัญกับการดูแลคุณพ่อคุณแม่มาก ดูแลท่านอย่างไรบ้างคะหาเรื่องหาโอกาสที่จะทําให้พ่อแม่มีความสุขอยู่บ่อยๆ เช่น วันนี้ตื่นมาว่าง ผมก็จะคิดว่าพาคุณพ่อคุณแม่ไปกินอะไรดี อาทิตย์หน้าว่างพาท่านไปเที่ยวที่นั่นที่นี่ดีไหม หรือวันแม่ วันพ่อ วันเกิดท่าน วันปีใหม่ วันอะไรก็ตามผมจะเอาของขวัญไปให้คุณพ่อคุณแม่ ความจริงไม่เกี่ยวหรอกว่าจะวันอะไร แต่ผมพยายามหาเรื่องหาวิธีคิดอยู่เรื่อยๆ ว่าจะทําอะไรให้ท่านดีเพราะอยากทําให้คุณพ่อคุณแม่มีความสุข
ผมเชื่ออยู่อย่างหนึ่งว่าไม่ว่าเราทําบาป ทําบุญ ทําดี ทําชั่ว จะมีคนคอยบันทึกสิ่งที่ทําอยู่ ดังนั้นเวลาเราทําดี ไม่จําเป็นต้องไปบอกใครว่าเราเป็นคนดีเพราะมีคนคอยจดบันทึกและเทกลับมาให้เรา ดังนั้นถ้าทําดีไปเรื่อยๆ เดี๋ยวสิ่งดีๆ ก็ย้อนกลับมาหาเราเอง อย่างผมเคยให้เงินค่าแสดงโฆษณาก้อนหนึ่งกับคุณพ่อคุณแม่ คุณแม่ยิ้มแก้มปริ ไม่เกินหนึ่งสัปดาห์ก็มีงานโฆษณาเข้ามาใหม่อีกแล้ว
คบกับแฟนมานานถึงกว่า 20 ปี มีเคล็ดลับอะไรที่ทําให้ความรักยืนยาวขนาดนี้คะน่าจะเป็น “ความเข้าใจ” ผมว่าความรักช่วงโปรโมชั่น 1 – 2 ปีแรก อะไรๆ ก็ดีไปหมด แต่ต่อมาเป็นเรื่องของความเข้าใจ ความรักที่ดีต้องเข้าใจควบคู่ไปด้วย ถ้ามัวแต่ตะบี้ตะบันรักอย่างเดียว มีหึงหวง มันก็เหนื่อย แต่ถ้าเราเข้าใจกัน เช่น เข้าใจในชีวิตเขา เขาเข้าใจชีวิตเรา ถอยกันคนละก้าวบ้าง จะทําให้ความสัมพันธ์ยั่งยืน นอกจากนั้นต้องมีศีลเสมอกันด้วย ไม่อย่างนั้นคุยกันไม่รู้เรื่อง
ประทับใจอะไรในตัวคุณเก๋คะแฟนผมไม่ฟุ้งเฟ้อเลย ตั้งแต่ไม่มีด้วยกันจนมี เขาก็เหมือนเดิม ไม่เคยอยากได้อะไรที่ฟุ้งเฟ้อ เป็นคนสมถะและเป็นคนมีเมตตาโดยธรรมชาติ อย่างผมเคยเห็นคนบางคนพอมีหมาแมวจากข้างนอกเข้ามาอึฉี่ในบ้านจะไล่ตะเพิดไป แต่แฟนผมกลับมองว่าถ้าเขาเข้ามาบ้านเราก็ควรให้อาหารเขา ไม่ควรไล่ตะเพิด ผมก็ได้มุมดีๆ หลายอย่างจากเขาเหมือนกัน
ตอนนี้วางแผนเรื่องแต่งงานหรือเรื่องมีลูกหรือยังคะยังเลยครับ ผมไม่อยากมีลูกเท่าไหร่ ผมว่าเรื่องนี้มันเป็นโชคชะตา เป็นเรื่องของการจุติ ถ้าวันหนึ่งเขาจะมาเกิดผมคงรู้สึกอยากมีลูกขึ้นมาเอง แต่ตอนนี้เฉยๆ คือถามวันนี้อาจตอบว่าไม่อยากมี แต่ถ้าถามครั้งหน้า ผมอาจตอบว่าอยากมีก็ได้ ยังไม่แน่ใจเหมือนกันครับ
หลังจากนี้วางเป้าหมายชีวิตตนเองอย่างไรในอนาคตคะตั้งใจไว้ว่าถ้าอายุสัก 50 ปีอาจหยุดทํางานที่ไม่สนุกกับมันมากนัก ดังนั้นถ้างานอะไรที่รู้สึกไม่ใช่จริงๆ คงไม่ทําอาจเหลือแค่งานเล่นดนตรีเพราะผมติดการเล่นดนตรีไปแล้ว คงเล่นดนตรีไปตลอดชีวิต นอกนั้นอาจใช้ชีวิตเที่ยวบ้าง สนุกกับชีวิตบ้าง เพราะถ้าแก่ไปกว่านี้ ผมอาจทําไม่ไหวแล้ว ดังนั้นอยากใช้ชีวิตที่เหลืออยู่ให้สบายๆ และมีความสุข
คงไม่ผิดนักหากจะบอกว่าการเป็นคนคิดบวก แบ่งปันและมีเมตตากรุณา นํามาซึ่งความสุขและความสําเร็จในชีวิตของชายคนนี้
© 2011 - 2026 Thai LA Newspaper 1100 North Main St, Los Angeles, CA 90012