Inside Dara
สิ่งดีๆ ในโลกมืด จากปาก "เพชรา เชาวราษฎร์"

"คุยได้แต่อย่าถ่ายรูปนะ" เป็นคำร้องขอของ คุณเพชรา เชาวราษฎร์ หรือคุณอี๊ด อดีตนางเอกนัยน์ตาหยาดน้ำผึ้ง วัย73 ปี (ครบรอบ 73 ปี วันที่ 19 มกราคม 2559) ก่อนที่เธอจะยินยอมให้ไปสนทนากันที่บ้านหลังใหญ่เลขที่ 48 ในซอยรามคำแหง 4 พร้อมกับอนุญาตให้ถ่ายรูป ภาพถ่ายต่างๆ ในสมัยก่อนที่ตั้งโชว์ไว้ในห้องรับแขก

วันที่ไปสัมภาษณ์นั้นเธอแต่งหน้าบางๆ สวมกางเกงสีน้ำตาลและเสื้อลายดอกสีน้ำตาลแบบสบายๆ หน้าตาสดใส ผิวพรรณมีน้ำมีนวล ผมดกดำ ขณะที่รูปร่างทรวดทรงยังดีสมส่วน

ดูแล้วแทบไม่เชื่อว่าผู้หญิงคนนี้อายุ 70 กว่าแล้ว ถ้าให้เดาคิดว่าอย่างมากน่าจะแค่ 60 ต้นๆ เท่านั้นเอง

คุณอี๊ดเล่าถึงกิจวัตรประจำวันให้ฟังว่า ตื่นขึ้นมาก็ทานกาแฟ แล้วเอาขนมปังให้เจ้าบราวนี่ (สุนัข) จากนั้นไปอาบน้ำ ไหว้พระไปตามเรื่อง แล้วถึงมาทานข้าว เสร็จแล้วเดินว่อนไปว่อนมาอยู่แถวนี้

บรรยากาศบ้านของคุณอี๊ดร่มรื่นไปด้วยต้นไม้ใหญ่น้อยนานาพันธุ์ในเนื้อที่2 ไร่กว่า ตัวบ้านอยู่ห่างจากถนนในซอยพอสมควร จนไม่ได้ยินเสียงรถแล่นอยู่นอกรั้ว เป็นบ้านที่น่าอยู่จริงๆ

ซึ่งคุณอี๊ดอยู่บ้านหลังนี้ร่วมกับสามี "คุณชรินทร์ นันทนาคร" มานานถึง 45 ปีแล้ว

ความที่บ้านดังกล่าวมีบริเวณกว้างขวาง มีสนามหญ้า มีร่มเงาของไม้ใหญ่ และเจ้าของบ้านคุ้นชินเป็นอย่างดีเพราะอยู่ตั้งแต่สมัยที่ตาสองข้างยังมองเห็นชัดเจน ด้วยเหตุนี้เองที่ทำให้อดีตนางเอกคู่พระ-คู่นางกับ "มิตร ชัยบัญชา" จึงไม่ค่อยอยากไปไหนมาไหนและมักเก็บตัวอยู่ในบ้านเสียมากกว่า

"ไม่ค่อยได้ออกไปไหนไม่อยากเป็นภาระคนอื่นเขาเพราะว่าถ้าไปต้องมีคนช่วยดูแลหน้าตาอะไรต่ออะไร รวมทั้งเครื่องแต่งตัว ดูว่าพอใช้ได้ใช่มั้ย ไม่ใช่ออกไป โอ้โห แล้วคนเขาจำได้ด้วยไง ถ้าเราแต่งตัวอยู่ในสภาพไม่พร้อมนี่ อยากมุดแผ่นดินหนี แต่เราอยู่ในสภาพที่ดีแล้วยังคุยกันได้ ยังพอรู้เรื่อง"

"อีกอย่างอยู่บ้านเราเคยเห็นมาก่อน ถึงจะเปลี่ยนแปลงไปเราก็ปรับตัวได้ แต่ไปในที่ใหม่ๆ ไม่เคยเห็นเลย มันกะอะไรไม่ถูก จะรู้สึกเหนื่อยประสาท รู้สึกเอ๊ย...อยู่บ้านดีกว่า บางครั้งเพื่อนชวนไปเที่ยวกัน บอกไม่ไปหรอก ฉันอยู่บ้านดีกว่า แม้เพื่อนจะชวนว่าอย่างน้อยได้กลิ่นอาย ได้บรรยากาศ ได้อะไรอย่างนี้ แต่มันไม่เห็น ไอ้เราก็นิสัยไม่ดี อยากเห็นเองอีก เลยไม่ได้ไปสักที"

หมายถึงตอนนี้คุณอี๊ดยังต้องดูแลภาพพจน์ตัวเองอยู่ตลอด

"ไม่ใช่ภาพพจน์โดยความเป็นจริงเราต้องดูดีเพื่อความมั่นใจของตัวเองสุขภาพจิตของตัวเอง คนจำเราได้แล้วเราดูโอ้โหแย่ที่สุด เราเองยังไม่อยากจะนึก ถ้าอยู่ในสภาพที่พร้อมจะพบผู้คนข้างนอกยังพอพูดกันรู้เรื่องยิ้มแย้มแจ่มใสกันได้บ้าง ถ้าเวลาเราอยู่ในอีกสภาพหนึ่ง โอ้ อยากลุกหนีไปเลย และพอออกไปตัวเราเองก็ลำบาก เพราะว่ามันผิดสถานที่ ตรงไหนเราเดินสะดวก ไม่สะดวกอะไรอย่างนี้"

หากติดตามข่าวคราวของอดีตนางเอกผู้นี้ย่อมทราบดีว่าเธอสูญเสียการมองเห็นมา30 กว่าปี โดยมีไม้เท้าช่วยนำทาง อย่างที่เจ้าตัวบอก "ตาเริ่มมองไม่เห็นประมาณปี 2524 ตอนนี้แม้แต่ไฟเปิดหรือปิดยังไม่รู้เรื่องเลย"

แม้จะอยู่ในโลกมืดมานานแสนนาน จนดูเหมือนเธอคุ้นชิน แต่กว่าจะทำใจยอมรับสิ่งที่เกิดขึ้นได้ อดีตนางเอกขวัญใจคนไทยรายนี้ก็บอบช้ำกับชะตาชีวิตที่โหดร้าย และเกือบเอาชีวิตไม่รอดมาแล้วเมื่อหลายปีก่อน

"มันชินยังไงก็ยังอยากทำอะไร อยากตัดสินใจด้วยตัวเองอยู่ แต่ว่ามันต้องพยายามที่ว่าถ้าอยู่ไม่ได้ก็ตายลูกเดียว ตอนนั้นคิดว่าตายแล้วมันไม่ตายไง แต่ตามันไม่เห็น เมื่อไม่เห็น โอ้ย จะอยู่ยังไง ทีแรกนั่งร้องไห้ พอคิดขึ้นมาแล้วนั่งน้ำตาไหลพรากๆ อยู่ตั้งหลายเดือน จนกระทั่งต้องทำตัวเองให้ชินว่าเรานี่ไม่เห็นแล้วนะ"

เธอย้อนเล่าถึงช่วงเวลาเฉียดตายให้ฟังว่า"เป็นเพราะแพ้ยาที่รักษาตาเป็นยาครอบจักรวาล เขาผลิตออกมาเป็นเหมือนแผนปัจจุบัน ตอนนั้นที่ไปหาหมอ เอวนิดเดียว พอสัก 3 เดือนกว่า กินยาไปแล้ว กางเกงก็ใส่ไม่ได้ มีกางเกงยืดอยู่ตัวเดียวที่ใส่ได้ ต้องไปซื้อเสื้อคนท้องมาใส่ (หัวเราะ) ทำให้น้ำหนักเพิ่ม ถึงหยุดยาแล้วก็เพิ่มเอาๆ มันบวมต่อเนื่อง บวมจนกระทั่งหายใจไม่ออก หายใจได้นิดเดียวๆ กลายเป็นว่าเรากินยาฆ่าตัวตายประมาณนั้น ถึงขนาดกลืนน้ำไม่ลง นึกว่าตัวเองตายแล้ว ผมนี่ร่วงหมด ตัวอ้วนผสมบวม หน้าฝ้าขึ้นเต็มเลย ขนขึ้นตามหน้าตามแขน ตามขา ปวดตามเนื้อตามตัวทั้งหมด"

เป็นเวลานานหลายปีกว่าอาการแพ้ยาของเธอจะหายเป็นปกติและแม้จะผ่าตัดตาด้วยความหวังว่าจะช่วยให้การมองเห็นดีขึ้นแต่สุดท้ายไม่ได้ช่วยอะไรเลย ตาที่เคยมองเห็นแบบเลือนรางอยู่บ้างก็มืดมิดสนิท

อย่างไรก็ตามชีวิตที่เฉียดความตายและการต้องอยู่ในโลกมืดมานานทำให้เธอได้แง่คิดอะไรหลายอย่าง

"ความที่ยังไม่ตายคราวนั้น เรียกว่าอาจจะเป็นกรรมอย่างหนึ่ง หรือเป็นบุญอย่างหนึ่ง ทำให้เราได้รู้อะไร รู้บาปบุญคุณโทษ รู้จักอะไรดี ทำให้เรามองคนในมุมที่กว้างขึ้น เห็นใจคนมากขึ้นว่าเพราะอะไรที่คนเขาบอกว่าคนนั้นร้าย ไม่ค่อยดี เราก็มองเขา เออ... เพราะอะไรเขาถึงเป็นอย่างนั้นล่ะ แล้วอย่างเป็นเราก็เหมือนกัน ถ้าเจอเหตุการณ์อย่างนั้นเราเป็นอย่างนั้น เพราะอะไรถึงเป็น ต้องมีสาเหตุที่เกิดทั้งนั้นแหละ เลยรู้สึกว่ามันทำให้เราเป็นคนมากขึ้น (หัวเราะ)"

ในช่วงที่สนทนากับคุณอี๊ดนั้น สัมผัสได้ว่าเธอเป็นคนมองโลกในแง่บวก น้ำเสียงร่าเริงแจ่มใส มีเสียงหัวเราะคั่นอยู่ตลอด

"คนเราต้องไม่อคติ ต้องมองโลกในแง่ดี ต้องให้กำลังใจตัวเอง พร้อมๆ กับขณะเดียวกันถ้าคนอื่นเขามีปัญหาเราก็ต้องให้กำลังใจเขาด้วย ตัวเองปลอบใจคนอื่นสารพัดตอนที่ตาไม่เห็น คนที่โทร.ก็ไม่รู้ว่าเรานี่นอนบวมอืดฉึ่ง หัวล้านอยู่กับบ้าน สมัยนั้นมีคนโทรศัพท์เข้ามาปรึกษาปัญหาหัวใจ ปัญหาชีวิต เราก็เป็นศิราณีไปเรื่อย โดยคนที่มาปรึกษาก็หารู้ไม่ว่าศิราณีที่แก้ปัญหาให้ จะเป็นศิลาอยู่แล้ว (หัวเราะ)"

"ยังนึกขำตัวเองอยู่แก้เรื่องของคนอื่น แต่ตัวเองนี่แย้ แย่"

ในช่วงที่เธอโด่งดัง อดีตนางเอกสาวคนนี้ไม่เคยมีเรื่องเสื่อมเสียเลย โดยเฉพาะเรื่องผู้ชาย

"ในยุคนั้นไม่ว่าจะเป็นในจอ หรือนอกจอ ต้องเป็นคนดี มีสัมมาคารวะ ต้องมีอะไรที่ไม่เลอะเทอะ แต่ถ้าเราเป็นเล่นบทร้ายคนเขาก็ยังไม่ค่อยว่าเหมือนนางเอกเป็นนะ"

วันนี้หลายคนยังชื่นชมความรักของคุณเพชรากับคุณชรินทร์ซึ่งถ้าย้อนกลับไปเมื่อสมัยเธอยังมีชื่อเสียงเป็นนางเอกเบอร์หนึ่งของเมืองไทยเธอมีโอกาสเลือกหนุ่มๆ ที่มีฐานะการงานและร่ำรวย แต่คุณอี๊ดก็เลือกคุณชรินทร์

"ตอนนั้นคิดว่าเขาเป็นคนที่น่าจะพูดกันรู้เรื่อง และเป็นคนที่น่าเห็นใจ น่าปลอบใจอะไรอย่างนี้ (หัวเราะ) นิสัยนางเอก คนเรามันก็ต้องเริ่มจากความรัก แต่ตอนเห็นเขาครั้งแรกทีเดียวสงสาร เห็นเขาตอนที่เขาบ้านแตกสาแหรกขาด ตอนที่เขายังไม่สู้หน้าสังคม คือสมัยนั้นเขาทำอะไรเขาผิดหมด ทำอะไรเขาถูกด่าหมด ตัวเองยังเด็กมากกว่าเขา เมื่อมาเจอกันเขาสุดโทรม ในขณะเดียวกันเราเริ่มเข้ามาในวงการหนังแล้ว ตอนที่เห็น โอ๊ย นี่เหรอชรินทร์ ทำไมโทรมจังเลย ไม่คิดว่าเขาจะโทรมได้ขนาดนั้น"

ความรักมั่นคงของทั้งสองที่ยืนยาวมาได้หลายทศวรรษชี้ให้เห็นว่าสามี-ภรรยาคู่นี้รักและผูกพันกันมาก อย่างที่คุณอี๊ดเล่า

"คุณชรินทร์เขาเป็นคนดี เป็นคนมีคุณธรรม ที่ผ่านมาก็อาทรต่อกัน ดูแลกัน เขาไม่สบายเราก็ไม่สบายใจ อยากให้เขาแข็งแรงสบายดี อยากให้เป็นที่รักที่ศรัทธาของคนตลอดไป เขามีสุขภาพดี เพราะออกกำลังมาตั้งแต่เด็ก ลมหายใจของเขามีเพาเวอร์ดี ที่ผ่านมาเขาต้องทำงานหนัก เราก็เห็นใจเหมือนกัน"

ล่าสุดคุณชรินทร์เพิ่งไปทัวร์ร้องเพลงที่ประเทศสหรัฐอเมริกากลับมาและแม้อยู่ในไทยจะเล่นคอนเสิร์ตอยู่บ้างแต่คุณอี๊ดก็ไม่เคยไปดูสักครั้งทั้งที่มีความตั้งใจจะไปดูอยู่เหมือนกัน

"ไม่เคยได้ไปเลยค่ะแต่คราวหน้าตั้งใจว่าจะไปอยู่ช่วงกลางปี 2559 เขายังแข็งแรง อย่างเรานี่อ่อนแอกว่าเขามากเลย เขาร้องเพลงอึดมาก อย่างคอนเสิร์ตร้องตั้ง 2-3 ชั่วโมง ยังบอกเขาว่าจริงๆ เธอเก่งนะ เธอต้องพูดด้วย แล้วร้องเพลงตั้งเยอะ ฉันนอนฟังยังเหนื่อยเลย"

อย่างที่เกริ่นไปแต่แรก รูปร่างของ เพชรา เชาวราษฎร์ ยังดีอยู่ สงสัยว่ามีวิธีการดูแลสุขภาพอย่างไร

"ไม่ได้ออกกำลังกายอะไร แค่เดินอยู่ในบริเวณบ้าน น้ำหนักก็ประมาณ 50 กิโล แต่จะทานแค่ 2 มื้อ มื้อกลางวัน กับเย็น เช้าทานผลไม้ มะพร้าว มะละกอ หรือฝรั่ง มื้อกลางวันอะไรก็ได้ แล้วแต่แม่บ้าน ทำอะไรไม่ถูกใจก็ไม่เป็นไร ไม่ระบุของชอบ ไม่อยากทำใจให้ชอบอะไร แต่ว่าโดยมากผักขาดไม่ได้ เรื่องการกินไม่ค่อยเรื่องมาก ไม่ชอบอะไรที่มันๆ ชอบง่ายๆ แล้วไม่ระบุว่าต้องเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ ถ้าเราถูกปากก็ทานมาก ถ้าเราไม่ถูกปากเออแค่นี้"

"แต่ก่อนขาดไอ้โน่นไม่ได้ ต้องเอาไอ้นี่ เยอะแยะ ตอนนี้ต้องทำใจตัวเราเอง ถ้าเราอยากจะไอ้โน่นไอ้นี่ เราจะติดตำหนิติติงโวยวายไปหมด ผิดกับเดี๋ยวนี้ วันไหนที่คิดไม่ออกจริงๆ ไม่รู้ว่าเขาจะทำอะไร บอกไปว่าวันนี้ไข่ต้มใบเดียว"

ในวัย 70 กว่า ถือว่าคุณเพชรายังมีสุขภาพดี จะมีปัญหาก็แค่เรื่องคอเลสเตอรอลเท่านั้น ซึ่งต้องทานยาและไปพบแพทย์ตามที่นัด

เธอพูดถึงการติดต่อกับเพื่อนๆ ในวงการบันเทิงว่า นานๆ ครั้งถึงจะคุยกันทางโทรศัทพ์ถามสารทุกข์สุกดิบ ส่วนใหญ่เป็นรุ่นเดียวกันอย่างเช่น บุศรา นฤมิตร หรือ อรสา อิศรางกูร ณ อยุธยา

ส่วนเรื่องการฝันถึง "มิตร ชัยบัญชา" ที่เสียชีวิตไปครบ 45 ปีนั้น ไม่ได้ฝันเห็นมานานแล้ว จากแต่ก่อนช่วงเสียชีวิตใหม่ๆ ยังมีมาเข้าฝันอยู่บ้าง ประเภทชวนไปโน่นไปนี่หรือมายิ้มให้

ทั้งหมดนี้คงทำให้เห็นแล้วว่า แม้ "เพชรา เชาวราษฎร์" อดีตนางเอกยอดนิยมจะอยู่ในโลกมืด แต่เธอก็มีความสุขดีในบ้านที่อบอุ่น ซึ่งมีสามีคู่ทุกข์คู่ยากอย่าง ชรินทร์ นันทนาคร อยู่เคียงข้าง