Inside Dara
“เอสเธอร์”สาวน้อยหน้าหวานแจ้งเกิดได้เพราะบทนางร้าย

เริ่มต้นปีม้า พ.ศ. 2557 ด้วยความสดใสของนักแสดงสาว เอสเธอร์ สุปรีย์ลีลา สาวน้อยวัย 19 ปี ที่หลายคนคุ้นหน้าคุ้นตากับการแสดงหลากหลายบทบาทของเธอ ไม่ว่าจะรับบทเป็นสาวหวานเรียบร้อย มาจนถึงบทบาทนางร้ายน่าหยิกในละครเรื่อง “มาดามดัน” ทางช่อง 3 จนหลายคนอยากให้ “ดาวต่างมุม” นัดแนะเวลาไปพูดคุยสาวเอสเธอร์กันยาว ๆ ซะหน่อย ว่าเส้นทางในวงการบันเทิงของเธอเริ่มต้นยังไง เพื่อที่แฟน ๆ จะรู้จักเธอมากขึ้นกันจ้า

จุดเริ่มต้นในการเข้าสู่วงการบันเทิง?

“ตอนนั้นคุณแม่ส่งเรามาเรียนเต้น เรียนรำ แล้วมีโมเดลลิ่งมาขอถ่ายรูป ตอนนั้น 6 ขวบก็ได้มาเล่นโฆษณา แล้วก็หายไปช่วงหนึ่ง แล้วค่อยมาเริ่มแคสติ้งใหม่แล้วก็ยาวมาจนตอนนี้ ถามว่าตอนนั้นเราชอบงานในวงการบันเทิงมั้ยเราเฉย ๆ เพราะหนูเป็นคนขี้อายมาก ไม่ชอบคนเยอะ ๆ ไม่ชอบกล้อง ไม่ชอบการแสดง ขี้กลัว แต่พอทำไปเรื่อย ๆ เริ่มชินเพราะคุณแม่ให้ทำกิจกรรมตอนเด็ก ๆ เยอะ ทั้งรำ ดรัมเมเยอร์ เชียร์ลีดเดอร์ตอนประถมค่ะ ตอนนี้อยู่วงการมา 3 ปีแล้ว ละครเรื่องแรกคือ หลวงตามหาชน, บ่วง, แผนร้ายพ่ายรัก, สุภาพบุรุษจุฑาเทพ ตอนคุณชายรณพีร์, มาดามดัน และ ครีบนี้หัวใจมีเธอ กำลังถ่ายอยู่ บทบาทเราแต่ละเรื่องไม่เหมือนกันเริ่มต้นจากบทแก่น ๆ มาเรียบร้อย แล้วค่อยมาเปลี่ยนเป็นร้าย ตอนแรกทำใจไม่ได้นะกับบทร้าย สงสัยว่าทำไมเราหน้าร้ายเหรอ พอได้เล่นคนชอบเราบางคนก็อินจนรู้สึกเกลียดเราจริง ๆ เราชอบกลัวไปก่อนว่าจะทำไม่ได้ แต่พอทำได้ผ่านแล้วผลตอบรับมาดีมาก แฟน ๆ จำหนูได้ก็หายเหนื่อยที่สำคัญคนเห็นความสามารถที่เราเป็นนักแสดงที่เล่นได้ทุกบทบาท ก็ดีใจค่ะ”

จากบทคนดีมาเปลี่ยนเป็นเล่นร้ายรู้สึกยังไง?

“ร้ายปุ๊บชีวิตเปลี่ยนเลยจริง ๆ ค่ะ ผู้ใหญ่ได้เห็นความสามารถของเราที่สมกับที่เขาไว้ใจและมอบหมาย บางคนจะคิดว่าเอ๊ะ ร้ายแล้วกลัวกลับมาเล่นเป็นคนดีแล้วคนไม่เชื่อ แต่จริง ๆ หนูมองว่าเราเป็นนักแสดงเราต้องสวมบทบาทได้หลากหลายไม่ยึดติดกับบทเดียว วงการบันเทิงเราเปลี่ยนไปแล้วคนส่วนมากเขาจะมองนางเอกก็ต้องนางเอกแสนดีตลอด ร้ายก็ร้ายไปตลอด แต่เดี๋ยวนี้คนคนหนึ่งขึ้นชื่อว่าเป็นนักแสดงต้องเล่นได้หลายบท รับบทเดิมคนดูก็เบื่อ แล้วที่สำคัญเราได้เรียนรู้ชีวิตคนผ่านบทละครที่ในชีวิตจริงทำไม่ได้ด้วยค่ะ ในละคร “มาดามดัน” ก็แอบร้าย แต่เป็นร้ายที่คนไม่เกลียดหนูนะ ร้ายแอ๊บแบ๊วลูกคุณหนู จะออกแนวตลกมากกว่า เพราะเราต้องใส่เหล็กดัดฟันเป็นสาวสก๊อยขี่มอเตอร์ไซค์ ทำสีผมจี๊ด ๆ เปลี่ยนคาแรกเตอร์ไปเลย เป็นบทที่ใช้พลังปะทะกับพี่พลอย-เฌอมาลย์, พี่มาริโอ้, พี่ชาย-ชาตโยดม ด้วยนะคะ พี่ ๆ เป็นนักแสดงรุ่นใหญ่ทั้งนั้น ตอนแรกเข้าฉากเราก็กลัวและเกร็ง แต่พอผ่านไปได้สักพัก เรารับส่งบทกันได้ดี พี่ ๆ ทุกคนช่วยหนูและน่ารักมาก กระแสตอบรับจากบทนี้ก็ดีมาก จริง ๆ นักแสดงหน้าใหม่มีเยอะมาก แต่สำหรับหนูมีละครต่อเนื่องแบบนี้ก็ดีใจแล้ว แต่ขอบคุณผู้ใหญ่ที่ให้โอกาสหนู เราไม่เคยคาดหวังว่าเราจะดังที่สุดในวงการ ขอแค่มีงานคนดูจำเราได้พอแล้ว แต่ในปีที่แล้วบทที่หนูได้รับจะไม่เหมือนกันสักเรื่อง แต่มีแฟน ๆ จำได้โดยเฉพาะที่เราเล่นเป็นนางร้ายในเรื่องคุณชายรณพีร์แสดงว่าเราก็ประสบความสำเร็จในระดับหนึ่งแล้วค่ะ”

คลื่นลูกใหม่เข้ามาในวงการเยอะกลัวมั้ย?

“นิดนึงนะ ต้องยอมรับน้อง ๆ มีช่องทางที่จะมาประกวดโชว์ความสามารถ เลยไม่แปลกที่จะมีคนเข้ามาในวงการเยอะ ถือเป็นสิ่งที่เตือนตัวเราว่าหยุดพัฒนาไม่ได้ ไม่ใช่มีละครปีหนึ่งหลายเรื่องก็รู้สึกสบาย เราเองต้องคอยดูข้อบกพร่องในการแสดงของเรา ยังขาดหรือเกินตรงไหนหรือเปล่า ส่วนจะอยู่ในวงการได้นานแค่ไหน มีละครต่อเนื่องหรือเปล่าขึ้นอยู่กับผู้ใหญ่ แต่หนูก็คิดว่าถ้าเราทำตัวดี มีความสามารถคนยอมรับการแสดงของเรา เราก็สามารถอยู่ได้ด้วย เพราะความสามารถไม่ใช่แค่เพราะความสวยหรือเหตุผลอื่น ๆ นะคะ”

คนชมว่าเล่นละครดี แต่ทำไมไม่ได้เป็นนางเอกน้อยใจหรือเปล่า?

“ไม่ทราบเลยค่ะ คนถามเราเยอะเหมือนกันแต่หนูมองว่าอยู่ที่จังหวะและโอกาส ที่สำคัญแล้วแต่ทางผู้ใหญ่ ไม่ใช่ยึดที่ตัวเราอย่างเดียว ไม่ได้น้อยใจ แต่ใจลึก ๆ ก็อยากลองดูเหมือนกันเราจะมีฝีมือได้ขนาดนั้นมั้ย แต่ก็ไม่เป็นไรขึ้นอยู่กับโอกาส เราไม่ได้ซีเรียสว่าจะต้องเป็นนางเอกจริง ๆ ค่ะ”

เวลาได้บทมาเรามีการทำการบ้านยังไง?

“อ่านบทให้จบ แล้วมานั่งวิเคราะห์จะแสดงบทบาทนี้ออกมายังไง แล้วคนดูอยากเห็นอะไร แต่บางทีหนูก็คิดไม่ออกนะคะ (หัวเราะ) หนึ่งเลยเพราะเรายังเด็ก ปีนี้หนูเพิ่งอายุ 19 ปี เจอคนยังไม่มากทำให้เราต้องไปปรึกษาผู้ใหญ่ ผู้กำกับ เขาอยากให้เราถ่ายทอดออกมาแบบไหน แล้วก็ต้องสังเกตจากเพื่อน คนรอบตัว บางคนเรียบร้อยมาก ๆ บางคนเปรี้ยวมาก ๆ ก็เอามาปรับใช้ได้ แต่เรื่องการแสดงยังต้องปรับเรื่อย ๆ ต้องให้คนอื่นดู แล้วไปขอความเห็นเขาว่าโอเคหรือเปล่า”

เข้าวงการมาเจอข่าวแรง ๆ หรือยัง?

“ยังไม่มีเลยค่ะ แต่เป็นแบบนี้เอสเธอร์โอเคมาก บางคนอาจจะมองว่ามีข่าวแรงคนจะจ้างไปอีเวนต์เยอะ แต่เราไม่ได้คิดแบบนั้นมันมาแค่ช่วงหนึ่งเดี๋ยวก็เงียบไป แต่แล้วแต่มุมมองคน ไม่มีข่าวที่ไม่ดีโอเคกว่า เราเองก็ยังเด็กถ้ามีข่าวไม่ดีครอบครัวคงไม่โอเคแน่นอน ทุกอย่างอยู่ที่ตัวเองเลือกจะทำแบบไหน วางตัวยังไง เป็นไปได้ไม่มีดีกว่า”

เรียนรู้อะไรจากการอยู่ในวงการบันเทิงบ้าง?

“ปีนี้อยู่ในวงการครบ 3 ปี แล้วสิ่งที่หนูได้เรียนรู้คือการทำงานกับคนเยอะ การทำงานเป็นทีมสำคัญมาก ต้องดูแลสุขภาพตัวเองให้ดี เพราะป่วยทีกองถ่ายละครทำงานไม่ได้ ก็ต้องยกกองเสียหายอีก ต้องคิดถึงส่วนรวมเป็นหลัก เพราะบางทีต้องเจอคนแปลก ๆ บ้าง เราก็ไม่ชิน ก็ต้องปรับตัว ไป ๆ มา ๆ เรามีภูมิคุ้มกันและเรียนรู้ว่าจะต้องอยู่ยังไง คนเราไม่ได้ดีตลอดเวลาเหรียญยังมีสองด้าน คนเราก็เช่นกัน”

บางคนบอกว่าเมื่อเข้าวงการแล้วมักจะเปลี่ยนไป?

“ยังไม่มีเลยค่ะ ไม่เคยเริ่ด ๆ เชิด ฉันคือดารา มีชื่อเสียง อะไร แต่กลับมีข่าวออกมาว่าหนูหยิ่ง ข่าวนี้ทำเรางงเหมือนกัน เวลาเรานิ่ง หน้าเฉย ๆ ไม่ยิ้ม อาจจะมองว่าหยิ่ง โกรธใครมา เพราะเป็นคนหน้าดุ แต่ตัวจริงเราไม่มีอะไรเลย เป็นคนสนุกสนานมาก ๆ หรือบางทีคนบอกว่าเรียกเรา เราไม่หันหน้าไปทักทายก็มี แต่บางจังหวะคนอาจจะเยอะ เราไม่สะดวก หรือรีบไปงานต่อก็อาจไม่ได้ทักทายทุกคน แต่หนูพยายามยิ้มมากขึ้น พยายามเข้าใจสถานการณ์เพราะถ้าเขาไม่ได้รักหรือชื่นชอบเราเขาไม่เข้ามาทักเราก็ได้นะคะ ฉะนั้นจากนี้ไปเจอแฟน ๆ คนไหนอยากทักทายยินดีเสมอค่ะ”

ตัวตนจริง ๆ ในแบบของเอสเธอร์เป็นยังไง?

“จริง ๆ แล้วหนูเป็นคนตลกนะคะ ขี้เล่นด้วย อะไรที่เป็นท่าทางน่าเกลียด ๆ หนูทำเล่นตลอดไม่มีเก๊กสวย เพื่อน ๆ ชอบบอกไม่น่ารู้จักหนูตั้งแต่แรกเลย เราดื้อไงคะ คุณพ่อคุณแม่เลี้ยงมาสบาย ๆ แต่ถ้าดื้อปุ๊บตีเลยนะ อีกอย่างเราเป็นพี่สาวคนโต ทำอะไรผิดนิดนึงจะโดนตีหนักเลย แต่พอเราโตขึ้นแล้วคุณพ่อคุณแม่ก็ใช้วิธีพูดด้วยเหตุและผล อีกอย่างเราเองก็ไม่ได้ดื้อซน เหมือนเมื่อก่อนแล้วด้วยเนอะ”

เป็นลูกครึ่งหรือเปล่าถึงชื่อจริงว่า “เอสเธอร์”?

“ใช่ค่ะ เป็นลูกครึ่งไทย-มาเลเซีย คุณพ่อคนไทย คุณแม่คนมาเลเซีย หนูมีพี่น้อง 3 คน หนูเป็นคนโต มีน้องชายคนกลาง แล้วก็น้องสาวคนสุดท้อง ตอนนี้เรียน ปี 3 ม.กรุงเทพ คณะนิเทศศาสตร์ เอกสื่อสารตรา เรียนสนุกมากได้ออกแบบโลโก้ผลิตภัณฑ์ คิดการตลาด คิดโฆษณา สามารถนำไปประยุกต์ใช้ในชีวิตจริง แต่ก็แอบมีท้อนะคะ เราถ่ายละครเยอะไม่มีเวลาไปเรียนจนเกรดตก จากที่เคยทำมาไว้โอเค เราให้ความสำคัญกับเรื่องเรียนเต็มที่ถึงเราทำงานมีรายได้ แต่ก็ต้องมีความรู้ติดตัวไว้ด้วย ต้องแบ่งแยกกันให้ได้”

คุณพ่อคุณแม่ห่วงการอยู่ในวงการบันเทิงมั้ย?

“ท่านย้ำหนูเสมอเรื่องการทำงาน ให้มีความตั้งใจจริง มีระเบียบวินัย เคารพผู้อื่น อย่าเปลี่ยนตัวเองเพราะคิดว่าตัวเองมีชื่อเสียงเด็ดขาด อย่าทำให้ผู้ร่วมงานคนอื่นต้องลำบากใจ เราต้องคิดถึงใจเขาใจเรา ตรงต่อเวลาก็สำคัญกับคนทำงานในวงการมาก ๆ เพราะเราเป็นคนช้า ทำอะไรช้าตลอดตอนเด็ก ๆ คิดว่าสายสัก 5 นาทีไม่เป็นอะไรหรอก แม่ก็จะดุสายกี่นาทีก็ไม่ได้ เราไปรอคนอื่นก่อน ซึ่งตอนนี้มาทำงานก็เข้าใจแล้วเรื่องเวลาสำคัญ”

มองอนาคตในวงการบันเทิงว่ายังไงบ้างหลังจากนี้?

“คงอยู่ในวงการไปเรื่อย ๆ อยากลองเล่นทุกบทบาท แต่ถ้าโตขึ้นกว่านี้อาจจะมองงานด้านอื่นควบคู่กันได้ เช่น ธุรกิจ เพราะตอนนี้เรายึดถืออาชีพอย่างเดียวคงไม่พอแล้ว ถ้ามีช่องทางที่สามารถเติบโตได้เราก็น่าจะลองดู เพราะถึงแม้ว่าเป็นนักแสดงจะเป็นอาชีพที่มีชื่อเสียง ได้เงินค่อนข้างเยอะ แต่ไม่สามารถการันตีว่าเราจะอยู่ในวงการได้ตลอดไป เพราะคลื่นลูกใหม่เข้ามาในวงการเยอะ”

ความรักล่ะมีหรือยัง?

“ไม่มีเลยค่ะ โสดสนิท แปลกมากตั้งแต่เข้าวงการมาไม่ค่อยมีคนในวงการมาจีบ ส่วนใหญ่เจอแต่คนข้างนอก แต่เราก็ไม่พร้อม ขอเป็นเพื่อนดีกว่า เราเองไม่ได้มีเวลาขนาดนั้น มุมมองความรักเราความรักก็ยังเป็นสิ่งที่สวยงามแต่ก็ต้องรู้จักรักหน้ามืดตามัวไม่ได้ เอาที่พอดี แยกให้ออกสำหรับความรักและความถูกต้องเหมาะสมค่ะ”

สเปกหนุ่มเราเป็นยังไง?

“หนูชอบลูกครึ่งนะ (หัวเราะ) แต่ลูกครึ่งเขาก็ไปชอบคนอื่นที่ไม่ใช่แบบหนู แต่ถ้าให้ดูจริง ๆ ต้องดูที่นิสัย เข้ากันได้มั้ย ถึงเขาไม่หล่อ เป็นคนธรรมดาแต่เป็นคนดี เข้ากับครอบครัวเราได้ เป็นสุภาพบุรุษเราก็รักได้ค่ะ เราเองไม่ได้ปิดกั้น ถ้าใครจะเข้ามาแต่เวลาไม่มีเลย แล้วก็ยังไม่เจอใครที่สามารถพัฒนาได้เลยตอนนี้”

สุดท้ายฝากอะไรถึงแฟน ๆ หน่อย?

“ต้องขอบคุณทุกคนจริง ๆ หนูไม่คิดว่าวันหนึ่งจะมีคนคอยติดตามมาให้กำลังใจเวลาไปงาน ชอบผลงานละครเรา จากเดิมเป็นคนธรรมดา กลับมีคนมาขอถ่ายรูปด้วยก็ดีใจมาก ต้องขอบคุณทุกคนด้วยที่รักและติดตามเรา เพราะถ้าไม่มีแฟนคลับก็ไม่มีเอสเธอร์วันนี้เหมือนกันค่ะ ฝากติดตามละคร “มาดามดัน” แล้วก็ละครเรื่องต่อไปคือเรื่อง ครีบนี้หัวใจมีเธอ ฝากติดตามด้วยนะคะ หนูสัญญาจะทำงานเต็มที่และพัฒนาตัวเองเสมอแน่นอนค่ะ”