Inside Dara
“มิน”ล้มแล้วลุกพัฒนาตัวเอง

เรียกว่าเป็นอีกหนึ่งสาวที่ถูกจับตามองตั้งแต่เข้าวงการมาใหม่ ๆ สำหรับ สาว มิน-พีชญา วัฒนามนตรี ที่วันนี้เธอจะขอเผยหลากหลายมุมมองความคิดบนถนนสายบันเทิงของเธอ ซึ่งต้องขอบอกว่าแม้ว่าสาวมินจะยังมีชั่วโมงบินบนโลกมายาไม่มากนัก แต่เธอก็มีความมุ่งมั่น เข้มแข็ง และมักมองโลกในแง่ดีอยู่เสมอจริง ๆ


เห็นผลงานล่าสุด “ปิ่นอนงค์” ฟีดแบ็กเป็นยังไงบ้าง?

“เรตติ้งใช้ได้เหมือนกัน ก็ดีใจ เพราะมินเองก็ตื่นเต้น นี่เป็นการร่วมงานกับค่ายใหม่อย่าง “มุมใหม่” เป็นครั้งแรก ทำงานกับที่ใหม่ก็กดดันเหมือนกัน แต่มินชอบแรงกดดันนะ เพราะรู้สึกว่ามันทำให้เรากระตุ้นตัวเองตลอดเวลา ซึ่งมาร่วมงานค่ายใหม่แบบนี้ มินก็ไม่ได้คาดหวังฟีดแบ็กอะไรเลย คือเราเข้ามาทำงานสนุกสนาน พวกเราตั้งใจทำงาน อีกอย่างถ้าคาดหวังมาก ๆ มันก็เป็นแรงกดดันที่น่ากลัวเหมือนกันค่ะ”


ส่วนตัวคิดว่าวงการบันเทิงมีข้อดี-ข้อเสีย กับเรายังไงบ้าง?

“จริง ๆ มินว่าทุกวงการมันก็มีทั้งข้อดีข้อเสีย ชื่อมันก็บอกอยู่แล้วว่าโลกมายา มันก็เป็นมายาที่เราเอามาใช้ในด้านที่ดีได้ เหมือนเรารักในอาชีพของเรา ถ้าเราทำมันอย่างสุจริต ทำให้ดีที่สุด ตามความสามารถของเรา เราก็จะไม่มองย้อนกลับมาแล้วบอกตัวเองว่า เราไม่น่าจะทำอย่างนั้นอย่างนี้เลย คือมินคิดว่าวงการบันเทิงไม่ได้เป็นวงการที่ร้ายกาจอะไร แต่เราทุกคนในทุกอาชีพต้องอยู่ให้เป็นค่ะ ต้องมีจรรยาบรรณในอาชีพตัวเองทั้งนั้น ดาราก็เป็นอาชีพที่สุจริต เป็นอาชีพที่อยู่กับผู้คน มินว่าต่อให้เรามีความรู้จักมากแค่ไหน แต่การอยู่กับคนมันเป็นปัญหาที่ทำให้ทุกวันมันมีเรื่องตลอด เพราะร้อยคนร้อยความคิดไม่เหมือนกัน คืออาชีพนักแสดงถ้าเรารักมัน มันก็จะรักเราเหมือนกัน ณ วันนี้มินภูมิใจมากค่ะ ที่ได้เข้ามายืนในจุดที่หลายคนอยากจะมายืน ทั้ง ๆ ที่ตอนนี้มินก็เรียนหนังสืออยู่ด้วยที่ ม.เอแบค ซึ่งก็ไม่ได้เป็นที่เรียนง่ายอะไร ไม่ให้สิทธิกับนักแสดงเท่าไหร่ ตอนนี้มินก็ยังรับงานไม่ได้มาก เพราะมีข้อจำกัดในเรื่องการเรียน แต่ว่ามินอยากทำทั้ง 2 ฝั่ง เราก็ค่อย ๆ ไปค่ะ เรื่องเรียนมินยอมรับนะว่าซีเรียสมาก ช่วงแรกที่เป็นช่วงปรับตัว มินเหนื่อยมากกับการที่ต้องแบ่งเวลาทั้งเรียนและงาน เหนื่อยจนมีความคิดว่าเลือกฝั่งใดฝั่งหนึ่งเถอะ เคยคิดว่าดร็อปหมดเถอะ ไม่ไหวแล้ว แต่ยังไงทุกวันนี้ที่มินทำงานด้วย ก็ดีกว่าเรียนเฉย ๆ นะคะ เพราะเรียนเฉย ๆ เราก็แค่เรียน ไม่ได้หาเงิน ไม่ได้มีโอกาสเรียนรู้ เปิดโลกกว้างตัวเอง พอเราทำงานไปด้วยมันเหมือนฝึกงานตั้งแต่ปี 1 ค่ะ เราก็ปรับตัวทุกอย่างไปพร้อมกัน มันอาจจะล้มลุกคลุกคลานบ้าง เหนื่อยบ้าง แต่สุดท้ายแล้ว มินว่ามันคุ้มที่จะทำค่ะ”

พอมีชื่อเสียงขึ้น มันทำให้เราเปลี่ยนไปบ้างมั้ย?

“มินยอมรับว่ามินเปลี่ยนค่ะ มันทำให้มินได้เรียนรู้ชีวิตกับผู้คนมากขึ้น เราเจอคนเยอะมากในทุกวัน เราก็ต้องวางตัวให้ถูก กับคนนี้มากเกินไปก็ไม่ได้ น้อยเกินไปก็ไม่ได้ มันต้องมีลิมิต ระหว่างบุคคลนั้น ซึ่งมินว่าทุกวันนี้มินโตขึ้น ก็เป็นอีกโลกหนึ่งที่มินภูมิใจและรู้สึกรักในอาชีพนี้เลยแหละ คือตอนแรกยอมรับนะว่าเข้ามาเพราะความอยากลอง แต่พอเราได้ทำ แล้วเราตั้งใจมาก ๆ รู้สึกเหมือนเราทุ่มทุกอย่างกับมัน ล้มเราก็ไม่ท้อ ลุกขึ้นมาใหม่ ทำสิ่งที่เรารักต่อไป เพราะทุกคนเข้ามาแรก ๆ ก็ต้องมีการปรับตัว บางทีเราก็อาจจะเจอสิ่งที่เราคิดว่าอะไรเนี่ย แต่เราได้เข้ามาอยู่ตรงนี้แล้ว มันก็เป็นโอกาสที่ดีในชีวิต เราจะถอยก็ไม่ได้ จะเสียโอกาส เราก็เดินต่อไป ทำให้เต็มที่ วันหนึ่งเราจะได้ไม่บอกว่า รู้อย่างนี้ทำแบบนี้ดีกว่า มินมีคติประจำใจว่าทำวันนี้ให้ดีที่สุด อย่าหันหลังกลับมามองอดีต ให้อดีตเป็นข้อเรียนรู้ไว้แก้ไขค่ะ ถามว่ามินมีช่วงท้อที่สุดในชีวิตมั้ย มันคือช่วงแรก ๆ ที่เข้ามาในวงการ เรายังปรับตัวไม่ได้ ร้องไห้กับปะป๊า แต่สุดท้ายมินว่าชีวิตมันก็มีแค่นี้ ล้มแล้วก็ลุก ก็ดูซิว่าจะล้มได้สักกี่ครั้ง เราก็ทำวันนี้ให้ดีที่สุด และมีความสุขกับทุกวันก็พอแล้วค่ะ”


ตอนเราเข้าวงการใหม่ ๆ มักมีคนจับตามองว่าเราหน้าเหมือนอั้ม-พัชราภา ตอนนั้นเรารู้สึกยังไง?

“รู้สึกว่าพอแล้ว คำพูดพวกนี้ ไม่อยากอะไรแบบนี้อีกแล้ว มินตอบคำถามนี้ตั้งแต่เข้าวงการใหม่ ๆ จนถึงวันนี้มินก็ยังตอบอยู่ มินรู้สึกว่าพี่อั้มเป็นคนที่เก่งและสวย เป็นคนมีเสน่ห์มากคนหนึ่งเลย แต่มินว่าไม่มีใครอยากเป็นเงาของใครหรอกค่ะ อยากให้เข้าใจมินบ้าง ว่ามินชื่นชมพี่อั้ม แต่ไม่เคยอยากเหมือนพี่อั้มเลย”

ช่วงนั้นเราน้อยใจมั้ย เพราะดูเหมือนคนจะถามถึงเรื่องนี้มากกว่าโฟกัสที่ผลงานเรา?

“ก็มีบ้าง ยอมรับนะว่าก่อนเข้าวงการมินปลื้มพี่อั้ม เข้าเว็บแฟนคลับพี่อั้มด้วย แต่พอเข้ามาก็ถูกเปรียบเทียบ กลายเป็นความไม่กล้าแตะ กลัวนู่นนี่แต่เรายังชื่นชมพี่อั้มเหมือนเดิม มันไม่มีใครจะมาเทียบกับใครได้ และไม่เคยคิดจะมาแทนที่ใคร เพราะทุกคนก็มีข้อดีข้อเสียของตัวเอง และแต่ละคนกว่าจะมายืนที่ตัวเองได้ ก็ต้องพยายามมาก ตัวมินเองจะถูกเปรียบเทียบมาตลอด และมินคิดว่ามันก็ไม่ดีหรอก บางครั้งพี่อั้มเองก็คงไม่รู้สึกดีเหมือนกัน มินไม่อยากให้ใครมองว่ามินจะเทียบพี่อั้ม เพราะมันคนละรุ่นเลย มันเป็นเรื่องที่ไม่ดี ตอนนั้นมินก็นอยด์เลย ไม่อยากตอบคำถามแล้ว เพราะรู้สึกว่าย้ำอยู่อย่างนี้มันก็ไม่จบสักทีค่ะ”


ตอนนี้ดาราหน้าใหม่เกิดขึ้นเยอะมาก เรามีวิธีรักษาระดับความดังตัวเองยังไง?

“จริง ๆ มินไม่ได้มองเรื่องอย่างนั้นเลย เพราะมินรู้สึกว่าคนที่มาใหม่ ก็ต้องเรียนรู้เรื่องการแสดงเหมือนกัน ทุกคนก็ต้องค่อย ๆ เดินต่อไปเรื่อย ๆ ใครเหนื่อยก็หยุด มันไม่ใช่แบบเธอจะมาแทนที่ฉัน เพราะสุดท้ายชื่อนั้นมันยังอยู่ในวงการอยู่ดี มินรู้สึกว่าทุกคนที่อยู่ในวงการก็เป็นนักแสดงที่เก่ง ไม่ว่าจะเป็นนางเอกหรือไม่ก็ตาม ดังนั้นมินก็เป็นตัวของเราเอง เพียงแต่ไม่มีใครมองเห็นเท่านั้นเอง เพราะทุกคนพยายามจะเทียบให้มินเป็นใครสักคน ไม่ต้องพี่อั้มก็ได้ คนพยายามให้มินแทนที่คนนั้นคนนี้ในช่อง แต่ตัวมินเอาพี่ ๆ มาเป็นตัวอย่างที่ดีในชีวิตเรา เอาความเก่งมาเป็นตัวอย่างให้เราเดินต่อไป เอาข้อผิดพลาดเรามาเป็นข้อเรียนรู้ดีกว่าค่ะ”


มินมีข่าวชู้สาวบ่อย เพราะจะถูกจับคู่กับพระเอกที่เราเล่นด้วยเกือบทุกเรื่องเลย?

“พระเอกทุกเรื่อง ทุกคนที่เดินเฉียด (หัวเราะ) แต่มินรู้สึกตลกดี แปลกดีเนอะ คือถ้าคนที่เราไม่รู้จักเลยแล้วมีข่าวกับเรา เราจะเป็นห่วงว่าเขาจะคิดอะไรหรือเปล่า แต่ถ้ารู้จักมินก็จะแบบว่าเรามีข่าวกัน ก็จะคุยว่าไม่มีอะไรนะ ตอบตามนี้นะ จะได้เหมือนกัน เขาจะได้รู้ว่าไม่มีอะไรจริง ๆ”


อย่างกับเวียร์-ศุกลวัฒน์ เราก็มีข่าวตั้งแต่ก่อนละครออนแอร์เลย?

“คือเราลงรูปอินสตาแกรมคู่กันบ่อย ก็เหมือนเป็นการโปรโมต แฟน ๆ หลายคนเลยลุ้น เพราะมินก็พี่เวียร์ก็เป็นคนขอนแก่นเหมือนกัน ร่วมงานกันครั้งแรกด้วย คนก็เลยตื่นเต้นว่าเป็นของใหม่ ส่วนโอกาสพัฒนาจริง ๆ ตอนนี้มินว่ายังค่ะ ถามว่ามินซีเรียสเรื่องข่าวชู้สาวมั้ย มินว่ามันเป็นกระแสนะ ส่วนใหญ่มันจะเป็นผลงานเท่านั้นแหละ ถ้าสังเกตดี ๆ จะเป็นการเล่นละครกับคนนี้ ออกอีเวนต์กับคนนี้ ก็มีอยู่แค่นี้ มินไม่ได้คิดมากค่ะ”


มีข่าวไหนที่บั่นทอนจิตใจเราที่สุดมั้ย?

“อย่างเรื่องข่าวศัลยกรรมมินยอมรับ 100 เปอร์เซ็นต์ว่าไม่ได้ทำเลย แต่แก้ไปก็ไม่มีใครเชื่ออยู่ดี แต่มินถือว่าเป็นคำชมนะ มองเป็นแง่บวกว่าสวยขึ้น ไม่ได้โกรธ ไม่ได้คิดอะไรด้วย คือมินว่าร้อยคนร้อยความคิด ทำไม่ทำ เขาก็คิดว่าทำอยู่ดี ส่วนข่าวไหนที่มินคิดว่าบั่นทอนจิตใจเราที่สุด น่าจะเป็นเรื่องผลงาน เพราะเรื่องอื่นมินมองว่าเป็นกระแสข่าว แต่พอเป็นเรื่องผลงานที่บอกว่าเราเล่นไม่ดี ไม่สวย เราก็จะเป็นเรื่องความสามารถ มันเจ็บนะ มันก็ต้องทำให้ได้ แต่มินจะใช้พวกนี้เป็นแรงผลักดัน พัฒนาต่อไปเรื่อย ๆ คือมินจะมองโลกกลับกัน มินจะพยายามมองหาแง่ดีของเรื่องที่เกิดขึ้น เพื่อตัวเราเองด้วย และเพื่อคนรอบข้างเรา เพราะถ้าเรามีความสุข คนรอบข้างเราก็มีความสุข ก็จบค่ะ ง่าย ๆ ในการใช้ชีวิตในทุกวัน”


ตอนนี้หัวใจเป็นยังไงบ้าง?

“ตอนนี้โสดสนิทมากค่ะ แต่ก็มีคุย มินไม่เคยปิดกั้นตัวเอง แต่เราจะคุยชัดเจนว่าเป็นเพื่อนกันไปก่อน คือพอเรารู้สึกว่ามันเริ่มมากไป เริ่มโทรฯ บ่อย มินก็จะบอกว่ามินยังอยากทำงาน อยากเรียนอยู่ เราพูดดีกับทุกคนดีหมด แต่สถานะต้องย้ำให้ชัดเลยว่าเป็นเพื่อน จริง ๆ มินเป็นคนไม่มีสเปก ไม่เคยวางเลย กลัววางไว้แล้วไม่ได้ ได้อะไรไม่รู้ คือคนเราจะใช่ก็คือใช่ มินคิดว่าคนเราจะรักกัน มันต้องปรับตัวเข้าหากันให้ได้ เราอาจจะหลงรักใครสักคนที่ไม่ได้เพอร์เฟกต์ เพราะตัวเราก็ไม่ได้เพอร์เฟกต์ เราก็จะดู จะปรับกันไป เหมือนจิ๊กซอว์ที่ต้องต่อให้ติดมากกว่าค่ะ ถามว่าที่บ้านมินมีสกรีนคนที่เข้ามามั้ย ก็ไม่หรอกค่ะ แต่มีอะไรมินก็จะบอก มินให้เกียรติปะป๊ามินมาก มินจะให้ป๊าเลือก ถ้าใครไม่ผ่านป๊าไม่ได้นะ ปะป๊าเองก็มีหวงมินบ้างตามประสาคุณพ่อกับลูกสาว แต่เขาจะให้สิทธิตรงนี้กับเรามากและเราก็ให้เกียรติเขา ปรึกษาคุณพ่อตลอด ทุกเรื่องของมินตอนนี้คุณพ่อรู้หมดค่ะ”


ท้ายสุดมินมองตัวเองในอีก 10 ปีข้างหน้าเป็นยังไง?

“อีก 10 ปี มินก็คงจะเห็นตัวเองกำลังทำงาน บ้างานพอสมควร แต่คงไม่มีทางเป็นคุณแม่ เพราะมินคิดว่าคงจะแต่งงานช้ามาก เพราะมินเป็นคนหวงความโสดพอสมควร แล้วมินมองว่าถ้าจะมีครอบครัว มินซีเรียสเลยนะ เราต้องพร้อมมาก เหมือนการมีแฟน เราต้องพร้อมแค่ไหนที่จะดูแลใครสักคน มินไม่อยากเอาเขามาแล้ว เราไม่มีเวลาให้ เวลาเรารักใครสักคน ก็อยากจะปลูกต้นรักให้สวยงาม ไม่อยากปักดิน ให้มันโตเอง ก็เป็นไปไม่ได้ เราก็อยากประคองความรักของเรา ส่วนการแต่งงานก็อยากมีครอบครัวที่ดี ดังนั้นถ้ายังไม่พร้อมก็ทำไม่ได้ ส่วนภาพที่เห็นตัวเองใส่ชุดเจ้าสาวนั้น มินมีค่ะ แต่ว่ามันอีกนานแค่ไหนเท่านั้นเอง เพราะมินเป็นคนที่ชอบความมั่นคง ซึ่งผู้ชายที่เข้ามาก็ต้องสร้างความมั่นคงให้กับมินได้ค่ะ”

มุ่งมั่น ตั้งใจ ไม่ย่อท้อแบบนี้ เชื่อว่าอีกไม่นาน คนจะต้องมองเห็นตัวตนที่แท้จริงของเธอ มากกว่าสิ่งที่คนอื่นอยากให้เป็นแน่นอน