Inside Dara
ผมไม่ใช่ซุป'ตาร์ โน้ต อุดม น้ำขึ้นค่อยๆ ตัก ขายงานไม่ขายชีวิตส่วนตัว

โน้ต อุดม แต้พานิช ผู้ชายจมูกโต ขายเสียงหัวเราะ เข้าวงการบันเทิงจากการพกพาความสามารถของตัวเองมาร่วมเป็น 1 ในตัวประกอบของรายการวิก07 เมื่อความสามารถเข้าตาผู้ใหญ่ จึงทำให้ผู้ชายคนนี้ได้มาร่วมทำรายการยุทธการขยับเหงือก รายการคอมเมเดียนที่โด่งดังในยุคนั้น จึงทำให้แจ้งเกิดในวงการบันเทิงตั้งแต่ตอนนั้นมา

หลังจากที่ประสบความสำเร็จในยุทธการขยับเหงือก โน้ตตัดสินใจแยกตัวออกมาจากรายการ และได้สร้างปรากฏการณ์ใหม่ขึ้นมา ด้วยการขึ้นพูดตลกคนเดียวบนเวที ที่หลายคนมองว่าไม่ใช่เรื่องง่าย และผู้ชายคนนี้ท่าจะบ้า แต่เพราะความสามารถที่มี จึงทำให้การขึ้นพูดตลกบนเวทีในครั้งนั้นประสบความสำเร็จ จนทำให้คนไทยได้รู้จักคำว่า Stand Up Comedy หรือ เดี่ยวไมโครโฟน

โน้ต อุดม ประสบความสำเร็จและโด่งดัง มีชื่อเสียงและเงินทองจากการเดี่ยวไมโครโฟนเรื่อยมา เค้าถูกยกให้เป็นเจ้าพ่อคอมเมเดียนของเมืองไทย คนจะได้เห็นหน้าโน้ต อุดม ออกสื่อแค่ปีละครั้งเท่านั้น จึงทำให้หลายคนไม่ค่อยได้สัมผัสตัวตนอีกด้านของโน้ตสักเท่าไร

บันเทิงไทยรัฐออนไลน์ มีโอกาสพูดคุยแบบเอ็กซ์คลูซีฟกับเจ้าพ่อคอมเมเดียน ให้แฟนๆ บันเทิงไทยรัฐและแฟนๆ ของโน้ต อุดม ได้สัมผัสอีกมุมหนึ่งของชีวิตผู้ชายจมูกโต

เพราะอะไรถึงรับเล่นซีรีส์เรื่อง Daddy จำเป็น?

“เคยดูหนังเรื่อง Speedy Scandal นี้แล้วรู้สึกว่าชอบบทมาก ก็คิดนะว่าเมื่อไหร่จะมีคนมาให้เราเล่นบทอะไรแบบนี้บ้าง แล้วพอมาวันนี้ก็รู้สึกว่าไม่คาดคิดมาก่อนว่าเค้าจะชวนให้มาเล่นซีรีส์เรื่องนี้ ผมเป็นแฟนของชาแทฮยอน ผมชอบเค้านะ (ยิ้ม) พอรู้ว่าจะต้องมาเล่นบทเดียวกันกับชาแทฮยอนเล่น ก็แอบคิดว่าเค้าเลือกผิดเปล่า (หัวเราะ) และรู้สึกอยากจะลองทำอะไรที่ไม่เคยทำ ถามว่าแอบตื่นเต้นมั้ยกับการเล่นละคร มันก็ไม่ขนาดนั้น ความรู้สึกมันแค่รู้สึกว่าจะได้ลองทำอะไรที่สนุกๆ และไม่เคยทำ

ถามว่ารับเล่นทันทีมั้ยที่เค้าติดต่อมา ก็ไม่นะครับ ขอดูบทก่อน ต้องบอกตามตรงว่าเราเคยดูในเวอร์ชั่นหนัง แล้วพอเค้าจะเอามาทำเป็นซีรีส์ มันจะต้องขยาย เราก็ต้องดูว่าเค้าจะขยายเรื่องออกมาเป็นยังไง น่าสนใจมั้ย เค้าก็ค่อยๆ พัฒนาส่งบทมาให้ดูเรื่อยๆ และในเรื่องนี้ได้เล่นกับเด็กด้วย ซึ่งตัวของ น้องคิมซุน น่าสนใจมาก เด็กคนนี้เป็นเด็กพิเศษนะ เค้ามีสัญชาตญาณของการเป็นนักแสดง รู้หน้าที่ตัวเอง งอแงน้อยมาก จำบทได้แม่น สามารถสร้างสรรค์บทที่มีมาให้ได้โดยไม่หลุดคาแรคเตอร์ จะเล่น จะนอน พอเรียกให้มาถ่ายก็ทำงานได้เลย เป็นการทำงานที่สนุก ไม่ยากเลย ส่วนสไมล์มีความตั้งใจมาก เอาใจใส่กับบทบาทที่เค้าได้รับ”

ขึ้นชื่อว่าเป็น โน้ต อุดม แฟนๆ มักจะคาดหวังทุกๆ ผลงานของโน้ต มีวิธีการรับมือกับความคาดหวัง แรงกดดันจากแฟนๆ อย่างไรบ้าง?

“อย่าไปรับความคาดหวังของแฟนๆ มาแบกไว้ เวลาที่ทำโชว์ก็ทำในส่วนที่เราอยากจะทำ เรารักที่จะทำแบบนี้ เวลาจะทำหมู่ ทำเดี่ยว ไม่ได้ฟังคนอื่น ฟังเสียงของตัวเอง เหมือนการแต่งตัวออกจากบ้าน อย่าไปคิดว่าเราจะแต่งตัวแบบนี้แล้วเค้าจะชอบเรามั้ย แต่งตัวแบบนี้มันจะดูอินเทรนด์ในสายตาคนอื่นหรือเปล่า สะพายกระเป๋าใบนี้แล้วจะทำให้เราดูรวยขึ้นมั้ย เราต้องแต่งหน้าแบบนี้นะเพราะว่าเทรนด์การแต่งหน้าแบบนี้กำลังมา ผมไม่ได้ใช้ชีวิตแบบนั้น ไม่ได้ใช้ชีวิตเพื่อคนอื่น แต่ใช้ชีวิตเพื่อตัวเอง

เพราะฉะนั้นเวลาทำโชว์หรือทำอะไรเอาที่เราอยากจะทำ ใส่เสื้อผ้าที่เราสบายตัว เวลาทำโชว์ก็ไม่ได้ฟังเสียงทัดทานจากคนอื่นว่าจะทำหมู่ทำไม ทำเดี่ยวก็ดีแล้ว คิดแต่ว่าเรามีไอเดียแบบนี้ เราอยากทำงานกับคนนี้ สักครั้งนึงในชีวิต ถ้าไม่ทำในชีวิตนี้จะมีโอกาสได้ยืนบนเวทีเดียวกันกับปาล์มมี่มั้ย กับตูน บอดี้แสลม มั้ย ถ้ามัวแต่ฟังคนอื่นเราก็จะพลาด ก็จะไม่ได้ร่วมงานกับคนอื่นๆ และจะไม่ได้ประสบการณ์ แง่คิด มุมมองจากคนเหล่านั้น อย่างรับเล่นซีรีส์เรื่อง Daddy จำเป็น ก็ไม่ได้แคร์เลยว่าจะต้องดัง จะต้องเป็นที่ยอมรับ มันเลยจุดนั้นมาแล้ว ที่ทำเพราะว่าเราชอบ จะมีคนดูหรือไม่มีมันไม่ได้เกี่ยวกับการเป็น โน้ต อุดม หรอก และที่ผมเล่นนั่นเป็นเพราะว่าผมอยากจะเล่น ได้เล่นในบทที่อยากจะเล่น ได้ทำงานกับผู้กำกับที่มีวิสัยทัศน์ที่ดี ได้เรียนรู้จากเค้า ได้ครีเอตซีนต่างๆ ด้วย”

รู้สึกอย่างไรกับฉายา เจ้าพ่อคอมเมเดียนของวงการบันเทิงไทย?

“มันไม่จริงครับ ผมไม่คู่ควร เอาคืนไปเถอะครับฉายานี้ (ยิ้ม) ผมไม่คู่ควรเลย ผมเป็นแค่คอมเมเดียนธรรมดาคนนึงครับ ถ้าขยายความหน่อยกับอาชีพที่ผมทำ มันก็คือการเล่าเรื่องด้วยมุมมองทางอารมณ์ขัน ไม่ว่าจะเป็นการเล่าเรื่องคนเดียว การเล่าเรื่องผ่านภาพ การทำงานศิลปะส่วนตัว แค่นั้นเอง เป็นมนุษย์ที่ชอบเล่าเรื่องคนนึงเท่านั้น ไม่ขอรับคำว่าเจ้าพ่อคอมเมเดียน ผมไม่ขอรับ ผมไม่เอา มันเกินไป (ยิ้ม) ผมเป็นคนในวงการบันเทิงคนนึงเท่านั้นเองครับ”

เป็นคนที่มีชื่อเสียงโด่งดัง แต่กลับออกสื่อน้อยเพราะอะไร?

“ทุกวันนี้ยังคิดว่าจะทำอย่างไรเพื่อให้ออกสื่อน้อยที่สุด เพราะอะไรทำไมเราถึงจะต้องออกสื่อให้มากล่ะ ผมไม่เข้าใจ (ยิ้ม) ที่คิดเอาไว้เวลาจะออกสื่อก็แค่เพื่อประชาสัมพันธ์งานที่ตัวเองทำเท่านั้น นอกนั้นก็ไม่คิดว่าตัวเองมีความน่าสนใจที่จะต้องไปออกงานบ่อยๆ สำหรับคนที่คิดว่าจะต้องออกสื่อตลอด คนจะได้จำได้ มีงานตลอด คนที่ทำแบบนั้นไม่ผิด แต่มันไม่ใช่วิถีดำเนินชีวิตของผม เพราะผมถนัดแบบที่เป็นอยู่ ใช้เวลาบ่มเพาะงานของตัวเอง เสร็จแล้วเปิดแผงขาย ขายเสร็จก็เก็บแผง ผมขายงาน ไม่ได้ขายชีวิตส่วนตัว ใครจะเลือกใช้ชีวิตแบบไหนมันไม่ผิด แต่ผมถนัดการใช้ชีวิตแบบนี้ ออกสื่อเฉพาะเวลามีงาน หมดงานก็ใช้ชีวิตส่วนตัว (ยิ้ม)”

ชื่อเสียงของโน้ต อุดม สามารถหารายได้เข้ากระเป๋าได้มากกว่านี้ ทำไมเลือกที่จะทำงานหาเงินแค่ปีละไม่กี่ครั้ง ไม่รับหนัง ละคร อีเวนต์ เหมือนคนอื่นๆ ทำกัน?

“คนรอบตัวก็ถามผมแบบนี้นะ (หัวเราะ) บางทีก็สงสัยตัวเองเหมือนกัน แต่ก็รู้สึกว่าเราได้ทำในสิ่งที่เราพอใจแล้ว ก็แค่นี้ก็พอแล้วแหละ คนบางคนน้ำขึ้นให้รีบตักมันก็ไม่ผิดนะ แต่สำหรับผมคือน้ำขึ้นค่อยๆ ตัก เพราะว่างานที่ผมทำแต่ละชิ้น ผมอยากจะค่อยๆ เอาใจใส่มัน บ่มเพาะมันออกมา ผมชอบทำงานแบบประดิดประดอย ค่อยๆ ทำไป พอรู้สึกว่ามันพร้อมแล้วก็ค่อยเอาออกมาขาย อย่างเช่นการทำเดี่ยว ก็จะเริ่มจากการเขียนบทไป สะสมเรื่องไปเรื่อยๆ จนมีความรู้สึกว่ามันน่าสนใจแล้วนะ ก็ถึงค่อยไปคิดเรื่องฉากว่า เรื่องที่เราจะเล่ามันน่าจะอยู่กับฉากแบบนี้นะ อยากเล่าเรื่องในฉากแบบนี้จังเลย อยากมีเพลงประกอบเดี่ยวอย่างนี้ มีโปสเตอร์เป็นแบบนี้ ค่อยๆ ทำไป บ่มจนมันได้ที่ พร้อมเสิร์ฟให้แฟนๆ ของเรา พอทำเสร็จก็ได้เงินเลี้ยงชีพมา ก็กลับมาใช้ชีวิตปกติ เดินทางท่องเที่ยว นี่คือวงจรชีวิตของผมคือ ทำงาน หาเงินมา ได้เงินมา เอามาท่องเที่ยว ท่องเที่ยวเสร็จก็จะได้เรื่องราว ประสบการณ์ แล้วก็เอาเรื่องราวที่เรียนรู้นั้นมาทำเป็นบท แสดง หาเงิน ท่องเที่ยว เรียนรู้ชีวิต วนอยู่แบบนี้ นี่คือวงจรชีวิตของผม หาทรัพย์มาใช้ไป

และผมมีทัศนคติว่าเราเป็นนักเรียนอยู่เสมอ เรียนรู้อะไรใหม่ๆ เสมอ ซึ่งความคิดนี้มันมีมานานแล้ว ตั้งแต่ตอนที่ยังไม่มีชื่อเสียง ผมเป็นคนไม่ชอบการเดินทางเพื่อไปทำงาน ทำงานที่ไหนก็จะหาที่พักแถวๆ นั้นอยู่ อย่างตอนทำงานอยู่ JSL ก็เช่าอพาร์ตเมนต์อยู่ติดกับสตูดิโอ เวลาจะไปทำงานก็เดินไปทำงาน ใช้เวลาเดิน 2-3 นาที ไปทำงาน (ยิ้ม) ย้ายไปทำงานที่ไหนก็จะย้ายที่อยู่ไปที่นั่น จนกระทั่งเริ่มทำเดี่ยว ก็ทำบ้านเป็นโฮม ออฟฟิศ จะได้ทำงานอยู่ที่บ้าน ทุกครั้งที่ออกเดินทางผมจะมีสมุด 1 เล่มเอาไว้จดบันทึกเรื่องราวต่างๆ ตอนนี้เก็บเอาไว้ได้เป็นตู้แล้ว เคยเอามาพิมพ์เป็นหนังสือเมื่อนานมาแล้ว แต่ตอนนี้ขี้เกียจ มันก็อยู่ในตู้นั่นแหละ ตอนปีใหม่ก็เอามาเปิดอ่านบ้าง เวลาจะทำเดี่ยวก็ค่อยไปเปิดดูหาเรื่องราวในนั้น ไปย้อนดูว่าตอนนั้นเรามีทัศนคติแบบไหนกับเรื่องราวนั้นๆ มันเหมือนโรงเก็บของเก่าที่เราสามารถหยิบจับนั่นนี่มาประกอบกันได้

และอาจจะเป็นเพราะว่าเราไม่มีภรรยา ลูก ก็เลยทำให้สามารถใช้ชีวิตแบบนี้ได้ด้วย จะไปไหนมาไหนก็สะดวก ไม่ต้องห่วงอะไร บางทีหายไป 3 เดือนก็ได้ ไม่ต้องหาเงินมาให้มากๆ เพื่อส่งลูกเรียน แต่ก็ไม่รู้ว่าสิ่งที่เราคิดอยู่มันถูกหรือเปล่า ว่าทำไมเราไม่กอบโกยในช่วงที่เราเป็นกระแส ในอนาคตก็ยังตอบไม่ได้ว่าตัวเองจะรู้สึกเสียดายในช่วงบั้นปลายชีวิตหรือเปล่าที่ไม่กอบโกย แต่ในปัจจุบันสิ่งที่เราเป็นอยู่ตอนนี้มันโอเคดีนะ เราชอบแบบนี้ แค่นี้ก็พอ เท่าที่มีอยู่ตอนนี้เราก็พอกินพอใช้ แค่ไม่มีหนี้สินชีวิตก็มีความสุขมากแล้ว”

ชีวิตชอบท่องเที่ยว เก็บเกี่ยวประสบการณ์เอามาเล่าเดี่ยว ยังมีที่ไหนที่อยากจะไปเพื่อนำเอามาเล่าเป็นเดี่ยวให้แฟนๆ ฟังมั้ย?

“ผมอยากไปเที่ยวบราซิล แต่เค้าบอกว่ามันอันตรายมากเลย อย่าไปนะ ยิ่งไปคนเดียวยิ่งห้ามไป คนบอกให้ไปดูคลิปที่เค้าถ่ายมา กระชากมือถือไปดื้อๆ เลย ถ้าผมไปต้องไปแบบใส่กางในตัวเดียวแล้วเดิน (หัวเราะ) ที่อยากไปเพราะว่าผมฟุตบอลไม่มีอะไรมากกว่านี้ และอีกที่ที่อยากไปคือผมอยากไปกับ แบร์ กริลส์ ที่เค้าเดินป่า ที่ผมเคยเล่าในเดี่ยว 11 ตอนนี้แบร์ กริลส์พาคนเข้าไปในป่าด้วย ผมอยากไปกับเค้า กินกับเค้า ไปลำบากกับเค้า อยากรู้ว่าเค้าจะพาผมไปกินอะไรบ้าง ไปผจญภัยกับเค้า ถ้าผมได้ไปกับเค้าแล้วกลับมาจะต้องมีเรื่องเล่าเยอะแน่ๆ เลยว่ามั้ย (หัวเราะ)”

หลังจากที่จะวางมือจากการทำเดี่ยว วางแผนชีวิตไว้อย่างไร?

“นั่นน่ะสิจะทำอะไรดี (ยิ้ม) ไม่เคยมีแพลนว่าหลังจากนี้จะทำอะไรเลย คือยังไม่ได้นึก แต่สักประมาณนึงเวลามันจะบอกเราเองว่าเราจะทำอะไร แม่นะยิ่งบอกให้อยู่เฉยๆ ไม่ต้องไปลงทุนอะไร อะไรที่มันยุ่งเหยิงมากๆ บ้านเราจะไม่สนับสนุนให้ทำ บ้านเราเป็นเหมือนชีวิตคนต่างจังหวัดแต่มาอยู่กรุงเทพ คือใช้ชีวิตง่ายๆ ไม่ยุ่งยาก เราชอบแบบนี้ ส่วนการไปเป็นเกษตรกรนะ ไม่ใช่ผม ผมไม่ใช่คนปลูกพืชปลูกผัก คิดว่าเราอุดหนุนเกษตรกรก็ได้ เพราะมันควรจะมีคนซื้อกินบ้างนะ มีแต่คนปลูกกิน แล้วคนทำขายจะขายได้เหรอ (หัวเราะ) คือเราเคยใช้ชีวิตลำบากมากแล้ว ปลูกผักปลูกหญ้ากินกันตั้งแต่สมัยอยู่สุรินทร์แล้ว เลี้ยงไก่ กินไข่ ชีวิตแบบนั้นเราเคยทำมาแล้ว ผ่านมาหมดแล้ว เพราะว่ารู้ว่าตัวเองไม่ได้ใช้เยอะขนาดนั้น ไม่ได้แต่งรถ นาฬิกาไม่ใส่ ไม่ได้ใช้ของสิ้นเปลือง ไม่มีของสะสมอะไร มันก็เลยทำให้ชีวิตเราเบาๆ แบกเยอะมันก็หนักเยอะ ตอนนี้ถ้าจะใช้ชีวิตก็ไม่ต้องโชว์ ใช้ชีวิตปกติที่เรามี"

ช่วงที่ไม่ทำเดี่ยว ทำอะไร?

“ผมชอบทำงานศิลปะ วาดรูป ปั้นเยอะแยะเต็มไปหมด ทำเสร็จก็เก็บเอาไว้ที่โกดัง (หัวเราะ) ทำเสร็จก็พิงๆ วางๆ เอาไว้เหมือนคนบ้า แต่ถ้าอยากดูผลงานของผม ก็เข้าไปดูได้ใน www.domdoodom.com ผลงานของผม ผมทำลงในที่นี่ ที่ไม่เอาไปจัดโชว์ตามงานโชว์ศิลปะเพราะว่าเคยไปแล้ว คนไม่สนใจงานศิลปะของผมเลย (ยิ้ม) เค้าก็มาถ่ายรูปกับเรา ไม่สนใจงานเรา (หัวเราะ) แต่ไม่โทษใคร เค้าไม่ผิด แต่มันเป็นเพราะภาพการเป็นคอมเมเดียนของเรามันชัดเจนกว่าการเป็นนักศิลปะ คนไม่เห็นแต่ผมก็จะทำมันต่อไป การที่คนไม่เห็นก็ใช่ว่าผมจะหยุดทำมันนะ ชอบทำอะไรเราก็ทำไป แฮปปี้มากๆ เวลาได้ทำพวกนี้ มันเป็นสิ่งที่ทำแล้วไม่ได้เงินอะไรเลย แต่มันได้ความสุข (ยิ้ม)”

เป็นหนุ่มโสด ไม่เหงาบ้างเหรอ?

“ไม่รู้ว่าการเป็นโสดมันดีหรือเปล่า แต่เห็นเพื่อนที่แต่งงานก็เลิกกันเยอะ แล้วเพื่อนก็มาอิจฉาชีวิตเราที่เราโสด บอกให้อยู่แบบนี้แหละดีแล้ว (ยิ้ม) แต่เราก็งง ก็อยากมีความอบอุ่นแบบเพื่อนบ้าง แต่เพื่อนบอกว่ามันอุ่นกว่าที่แกคิดนะ มันร้อนเลยล่ะ (หัวเราะ) มันไม่มีอะไรได้มาฟรีๆ นะ คนโสดก็มีปัญหาเหงา คนมีครอบครัวก็มีปัญหาที่ไม่มีเวลาให้ตัวเองเลย ก็เลยอยู่แบบนี้ก็สบายดีนะไม่ดิ้นรน ทำงานศิลปะไป เล่นฟุตบอลไป ดูหนังที่อยากดู ก็มีความสุข”

เป็นคนอารมณ์ดี มองทุกอย่างเป็นเรื่องตลก เวลาที่ชีวิตไม่ตลก โน้ต อุดม แก้ปัญหาอย่างไร?

“ถ้าเริ่มตึงเมื่อไหร่ผมก็จะออกเดินทาง ใจจะได้ไปอยู่ในที่อื่นเพื่อพาใจไปหย่อน เค้าถึงเรียกว่า ไปพักผ่อนหย่อนใจ อันนี้เป็นแบบเบสิกทั่วไป แต่ถ้าเป็นระดับที่ลึกลงไปอีก ผมชอบนั่งสมาธิ เพราะถ้ามีสมาธิมันก็จะมีสติ มันจะแยกแยะอะไรได้ ผมชอบนั่งสมาธิก่อนนอน แม้ไม่ได้นั่งทุกวันแต่ก็นั่งสม่ำเสมอ ยิ่งเวลาที่จะต้องโชว์ก็จะต้องใช้สมาธิเยอะ ต้องใช้การตัดสินใจที่ดี ต้องเริ่มจากการมีสติที่ดี ไม่อย่างนั้นจะไม่สามารถตัดสินใจกับการทำงานได้ นี่คือวิถีการหย่อนใจของผม”

ความเป็น โน้ต อุดม ใช้ชีวิตลำบากมั้ย เพราะไปไหนมาไหนผู้คนจะรายล้อม ให้ความสนใจ?

“ผมไปกินข้าว เดินห้าง ดูหนังเหมือนคนทั่วไปได้ (หัวเราะ) ผมไม่ได้ดังเป็นซุป'ตาร์ขนาดนั้น ผมก็คนทั่วไป มีคนรู้จักผมบ้าง เวลาไปไหนมาไหนแล้วคนมาขอถ่ายรูปผมรับได้ แต่ก็มีบ่อยครั้งที่ต้องให้บริการแฟนๆ จนต้องตกเครื่อง หรือตกรอบหนังก็มี (หัวเราะ) แต่ถ้าเรารีบ ไม่มีเวลาจริงๆ เทคนิคของผมคือถอดหมวก คนจะจำได้น้อยลง ถ้าใส่ผ้าปิดปากเหมือนคนป่วยคนจะจำได้นิดหน่อย แต่ถ้าถอดหมวก ไม่ใส่แว่น ไม่อะไรเลย คนจำไม่ค่อยได้ (หัวเราะ) แต่วันก่อนไปดูหนังมาแล้วกลัวไม่ทัน ก็เลยใส่ผ้าปิดปากขึ้นลิฟต์ไป คนข้างๆ มากับแฟนแล้วก็พูดว่า เค้าคิดว่าเค้าปลอมตัวแล้วเราจะจำไม่ได้เหรอ ซึ่งตอนนั้นในลิฟต์เงียบมาก ผมก็คิดละว่าเค้าพูดกับใคร แล้วเค้าก็พูดต่อว่าเราดูเค้ามาตั้งแต่เรายังเด็ก ทำไมเราจะจำไม่ได้ ก็เลยรู้ว่าเค้าพูดถึงผมอยู่ (หัวเราะ) ก็เลยไม่ปลอมตัวละ ถอดผ้าปิดจมูกออกแล้วก็ถ่ายรูปกันในลิฟต์ ออกไปถ่ายนอกลิฟต์อีก ได้ดูหนังแบบฉิวเฉียดแต่ไม่ได้ดูตัวอย่างหนัง (ยิ้ม)

ทุกวันนี้คนที่ถ่ายรูปกับผม แยกออกเป็นอย่างนี้นะ สมัยก่อนยุคยังไม่มีมือถือสมัยนั้นก็จะขอลายเซ็น เจอกันขอลายเซ็นหน่อย ถ้าจะถ่ายรูปดาราก็ต้องเอากล้องเตรียมมาเลย กล้องสมัยก่อนก็เป็นกล้องฟิล์ม ถ่ายรูปก็ต้องมีกันเสีย จนมาในยุคปัจจุบัน ยุคโซเชียล บางคนไม่ได้ถ่ายรูปกับคนที่เราชอบเพราะตัวเราเองแล้ว แต่เป็นการถ่ายอะไรก็ได้เพื่อให้มีการไปโพสต์ มันไม่ได้จำเป็นว่าเค้าจะต้องชื่นชอบเรา เพียงแต่ว่าเราอาจจะเป็นคอนเทนต์หนึ่งของเค้าในวันนั้นที่จะทำให้ชีวิตในวันนั้นของเค้ามีอะไรหวือหวาหน่อยนอกจากการโพสต์อาหาร โพสต์สัตว์เลี้ยง โพสต์ตัวเองออกกำลังกาย การได้เห็นดารานักแสดง ถ่ายรูปแล้วลงโซเชียล มันก็จะทำให้ชีวิตวันนี้ของคนๆ นั้นมีสีสันมากขึ้น ได้รับความสนใจ ได้รับคอมเมนต์ การที่เค้ามาถ่ายรูปกับเราไม่จำเป็นว่าเค้าจะต้องชอบเรามาก ผมมองว่าตอนนี้ผมก็เป็นแค่สีสันอย่างนึงของเค้า คนที่มาขอถ่ายรูปกับผมเค้าอาจจะไม่ได้ชอบผมมากๆ ก็ได้ บอกตามตรงเวลามีคนมาขอถ่ายรูปด้วย ก็รู้สึกว่าตัวเองไม่ได้ต่างจากอาหาร เค้ก หรือสัตว์เลี้ยง หรือซิกแพ็กนะ (หัวเราะ) ผมมองตัวเองเป็นอย่างนั้นจริงๆ ผมไม่ได้ยิ่งใหญ่อะไรขนาดนั้น”

ทำไมถึงคิดว่าตัวเองไม่ยิ่งใหญ่ ไม่มีชื่อเสียง ไม่หลงไปกับหัวโขนที่ตัวเองมี?

“เมื่อก่อนผมเคยเล่นเป็นตัวประกอบละครของค่ายกันตนา ผมโชคดีที่ผมเริ่มต้นการทำงานในวงการนี้มาจากการเป็นตัวประกอบ มันก็เลยเห็นสัจธรรม มันเห็นองค์ประกอบโดยรวม เวลามากองถ่ายผมจะเข้าใจความรู้สึกของเอกซ์ตร้า ถ่ายบ่ายแต่นัดมาเช้าเพราะเราเคยเป็นแบบนั้น เห็นตัวเองที่เคยนั่งรอมาก่อน พอมาถึงวันนี้เราก็รู้อยู่แล้วว่าเราไม่ได้ยิ่งใหญ่มาจากไหน เห็นชีวิตตั้งแต่ศูนย์จนถึงร้อย เราเห็นการเกิดการดับของดวงดาวในวงการมายานี้ เวลาเห็นข่าวนักแสดงป่วยมันก็ยิ่งได้ข้อคิดมาสอนตัวเราเอง ดาราบางคนตอนที่เค้าดังมากๆ ตอนนั้นผมยังเป็นตัวประกอบอยู่เลย และก็เฝ้ามองเค้า ตอนนั้นเค้าเป็นซุปเปอร์สตาร์ดังเลยนะ ฮอตที่สุด แต่ดวงดาวมันก็เป็นอย่างนั้นแหละ มันมีขึ้นก็ต้องมีลง ฉะนั้นใครที่คิดว่าตัวเองจะเป็นดาวค้างฟ้ามันเหนื่อยนะ โลกใบนี้ไม่มีอะไรที่มันแน่นอน มาแล้วก็ไป ยิ่งในยุคโซเชียลด้วยมาเร็วไปเร็วนะ เพราะฉะนั้นการที่จะทำให้คนจดจำเราได้ และอยู่ในความทรงจำของผู้คนนั้น ก็คือตัวงานเท่านั้นที่จะพูดแทน แต่ละคนมีหน้าที่ทำงานของตัวเองให้ดี ถ้ารับผิดชอบส่วนของตัวเองให้ดี รักษามาตรฐานของตัวเองเอาไว้ อย่างเช่น ถ้าเราขายข้าวขาหมูบางรัก เราตั้งใจทำ เราทำมันด้วยใจ มันก็จะมีชื่อ เวลาคนอยากกินข้าวขาหมูก็จะคิดถึงข้าวขาหมูบางรักของเรา เค้าก็มากินข้าวขาหมูบางรักของเรา (ยิ้ม)”