Inside Dara
เปิดใจ ‘ปูเป้-จุฑารัตน์’ ช่างภาพสาวไทย ผู้ได้ถ่ายพรมแดง ‘ออสการ์’ กระทบไหล่ ดาราฮอลลีวู้ด ให้กับสื่ออเมริกัน กว่าจะถึงวันนี้ ไม่ใช่เรื่องง่าย

อคาเดมี อวอร์ดส์ หรือ “ออสการ์” ครั้งที่ 95 เป็นอีกครั้งที่คนเอเชีย ผงาดขึ้นคว้ารางวัลใหญ่ เมื่อ มิเชล โหย่ว นักแสดงชาวมาเลเซียวัย 60 คว้ารางวัลนักแสดงนำหญิง จาก Everything Everywhere All at Once หรือ ‘ซือเจ๊ทะลุมัลติเวิร์ส’ เป็นเอเชียคนแรกที่คว้ารางวัลนักแสดงนำหญิงได้สำเร็จ

Everything Everywhere All at Once ยังคว้ารางวัล ภาพยนตร์ยอดเยี่ยม รวมไปถึง นักแสดงอย่าง คี ฮุย ควน เชื้อสายเวียดนามวัย 51 ปี ก็คว้ารางวัลนักแสดงสมทบชายเช่นกัน

ยังไม่รวม Naatu Naatu จากภาพยนตร์อินเดียชื่อดังแห่งปี RRR ที่คว้าเพลงประกอบภาพยนตร์ยอดเยี่ยม เอาชนะคู่แข่งระดับท็อปหลายคนได้

เพียงไม่กี่ปี หลัง Parasite จากเกาหลี ที่คว้ารางวัลใหญ่บนเวทีระดับโลกเวทีนี้

ในเวทีแห่งความสำเร็จของคนเอเชียในปีนี้ “ปูเป้-จุฑารัตน์ ภิญโญดุลยเจต” ช่างภาพหญิงไทยวัย 30 ปี เป็น 1 คน ที่ได้เดินทางไปเก็บภาพความประทับใจ ในงานประกาศรางวัลที่คนทั่วโลกจับตามอง ที่โรงละครดอลบี เธียเตอร์ นครลอสแอนเจลิส รัฐแคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา แบบที่น้อยคนนักจะมีโอกาส

“ทำได้แล้วนะ ขอบคุณที่พยายามมาจนถึงวันนี้ ตอนนี้ใช้ชีวิตแบบที่ฝันแล้วนะ”

เธอว่าไว้ ในเฟซบุ๊กส่วนตัว Poupay Jutharat กับการบอกเล่าการเดินทางไปทำงาน ในงานออสการ์ครั้งแรกในชีวิต ให้กับสื่อดังอย่าง นิวยอร์ก ไทมส์ เล่าบรรยากาศการทำงานอีเวนต์ระดับโลก ได้เจอกับดาราฮอลลีวู้ดชื่อดัง ไว้อย่างมีสีสันว่า

“ออสการ์ครั้งแรก เสร็จงานจริงๆแล้ว โพสต์ได้ 555

ตอน Jolie กับ Amanda ถามมาว่าว่างไหม อาจจะมีตำแหน่งให้ไปถ่าย คือตื่นเต้นมาก ลุ้นมาก ไปวัด บอกน้องๆว่า ถ้าพี่ไปได้ถ่ายออสการ์พี่จะเลี้ยงหมูกระทะ 555

พอทาง NYT คอนเฟิร์มให้ไปถ่ายจริงๆ ตอนประชุมเสร็จ นั่งหน้าคอมนิ่งๆอยู่ 2-3 นาที แล้วโทรไปหาแต๋ง ‘มึง กูทำได้แล้วจริงๆว่ะ’ มันรู้สึกยังไงไม่รู้อะ แบบเออ มึงก็เอาจนได้เนอะปูเป้ นี่มันคือที่สุดเท่าที่เราจะคิดได้แล้ว มึงมาถึงจุดนี้ได้จริงๆแล้วว่ะ

ทางออสการ์ส่งเครื่องแบบ Formal Attire ในงานมา ปกติใส่เสื้อแจ๊กเก็ตไปถ่ายงาน555 งานดูดีหน่อยก็เชิ้ต ไม่เคยมีสูท ต้องไปหาซื้อสูท รองเท้ากีฬาก็ไม่ให้ นี่ก็ไม่เคยใส่อะไรนอกจาก Nike ก็ต้องไปหารองเท้าดำใส่อีก ซึ่งจริงๆควรมีชุดทางการตั้งนานแล้วแต่ไม่เคยมี หลังจากนี้ นี่แหละชุดทางการตลอดกาล

บินมา LA พักบ้านคุณน้าน้องเตย ต้องขอบคุณน้าลี่มากๆที่ซัพพอร์ตทุกอย่าง ขับรถไปรับส่ง, ทำ apple box แบบ diy , หาข้าวหาน้ำให้, ทำ bowtie diy, และอื่นๆอีกมากมาย ขอบคุณมากจริงๆค่า

วันซ้อมเทสต์กล้องกับทีมเทคนิคของ NYT ก็ปกติราบรื่นดีไม่มีอะไร พอถึงวันจริงกล้องทั้งสองตัวไม่เชื่อมกับระบบ นี่เป็นคนมีปัญหาทางเทคนิคตลอด ทาง NYT ต้องไปยืมกล้องของช่างภาพอีกคนมาให้ถ่าย เรียนรู้กล้องใหม่หน้างานค่ะ 555

ตัวเตี้ยสุดเลย 555 เตี้ยสุดในงานแล้วมั้ง ยืนบนแท่นยังเตี้ยกว่าฝรั่งเลย 555 และการยืนอยู่กับที่ 5 ชม.นี่ เป็นอะไรที่ …… ช่างภาพข่าวน่าจะเข้าใจกัน สังขารตอนอายุ 30 ก็ยังไหวอยู่นะ555

การเห็นดาราฮอลลีวู้ดตัวจริงจากที่เห็นในจอก็ตื่นเต้นอยู่นะ นี่ขนาดไม่ใช่คนบ้าดารายังตื่นเต้นเลย ตอนเห็นเลดี้กาก้าหรือริฮานน่าเดินมา ในใจเรานี่แบบ ตัวจริงงงงงงงง แต่ที่ตื่นเต้นที่สุดคือเจสสิก้า!!!!! แคลร์!!!!! กูทำได้แล้ว!!!!! กูได้ถ่ายเจสให้มึงแล้ว !!!!!!!! ฮืออออออออ

เป็นประสบการณ์ที่น่าจดจำมาก หวังว่าจะมีครั้งต่อไป สนุกมากจริงๆ เราดีใจมากวงการที่นี่สนับสนุนเรามากๆ พอทำงานเสร็จแล้วเดินออกมาจากงานคืออยากร้องไห้”

หลังจบงานอคาเดมี อวอร์ด มติชนออนไลน์ ได้ต่อสายคุยกับ ปูเป้-จุฑารัตน์ ช่างภาพสาวฟรีแลนซ์ชาวไทย กับเรื่องราวที่กว่าจะได้ทำงานนี้ “ไม่ใช่เรื่องง่าย”

เริ่มต้นด้วย “การถ่ายภาพ” เป็นงานอดิเรก ก่อนที่เธอจะจริงจังกับมัน กระทั่งได้เริ่มทำเป็นอาชีพ บินอเมริกา สู่มหานครนิวยอร์ก เพื่อเรียนถ่ายภาพอยู่ 1 ปีเต็ม ก่อนจะเก็บเกี่ยวผลงานที่ประเทศไทย ทำงานเบื้องหลังกองถ่าย ไม่นานนักเธอมุ่งหน้ากลับสู่นิวยอร์ก ช่วงปลายปี 2019 ไปสู้อีกครั้ง ทั้งถ่ายภาพพรีเวดดิ้ง ภาพครอบครัว ภาพพอร์ตเทรต ทำทุกอย่างที่มีคนแนะนำ แม้จะยาก ที่จะหาคนที่จ้าง และเธอก็ไม่หยุดที่จะพัฒนาตัวเอง ออกไปดูงาน ไปดูนิทรรศการ และฝึกถ่ายภาพเยอะๆ

ที่สำคัญคือการส่งพอร์ตไปตามสื่อต่างๆ กระทั่งผลงานเตะตาเข้ากับ นิวยอร์ก ไทมส์ จนได้ร่วมงาน เป็นช่างภาพฟรีแลนซ์ให้อยู่เกือบ 3 ปี มีผลงานภาพอีเวนต์ต่างๆ ในกับโต๊ะสไตล์ และเคยถ่ายภาพในงานอีเวนต์ใหญ่ๆ อย่าง อาฟเตอร์ปาร์ตี้ของงาน Met Gala, National Board of Review Awards และพรีปาร์ตี้ของออสการ์ในปีนี้

จนกระทั่งครั้งนี้ นิวยอร์ก ไทมส์ ได้ติดต่อให้ปูเป้ไปถ่ายภาพงานออสการ์ในปีนี้ให้ ร่วมกับทีมงาน โดยมีช่างภาพ 3 คน ซึ่งเธอประจำอยู่ในส่วนของหน้าพรมแดง เก็บภาพของนักแสดงที่มาโชว์ตัว ในลุคแรกที่คนจะได้เห็น หลังได้รับการติดต่อมาเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ เธอก็ต้องเตรียมตัว ทั้งชุด ที่ปกติใส่แต่รองเท้ากีฬา ก็ต้องหารองเท้าดีๆ ชุดสูท เตรียมอุปกรณ์ต่างๆ ทั้งเช่าเลนส์เพิ่ม ไปจนถึงศึกษากฎต่างๆ ที่เธอว่า มีสิ่งที่ทำไม่ได้ค่อนข้างมาก อย่างเช่น ห้ามถ่ายป้ายชื่อในงานอย่างเด็ดขาด

ก่อนงานเริ่ม ช่างภาพสาวบอกว่า “ตื่นเต้น และเครียดมาก เพราะเหมือนเป็นโอกาสเดียว ถ้าพลาดก็คงเจ๊ง ที่นี่คนแข่งขันสูง ถ้าเราทำไม่ดี เขาก็จะให้คนอื่นทำรอบหน้า เราก็อยากกลับมาอีก ก็ต้องทำให้ดี”

“นักแสดงแต่ละคนมาเร็วมาก ช่างภาพตรงนั้นก็เยอะ มากันจากทุกสำนัก มีหลายสิบคน ช่างภาพก็ตะโกน เรียกร้องความสนใจจากดารา เพื่อให้เขามองกล้องเรา แต่ว่าเราก็ทำบ้าง ไม่ทำบ้าง เพราะคิดว่า ภาพที่ไม่มองกล้อง ก็อาจจะธรรมชาติกว่าก็ได้”

และก็มีเรื่องราวไม่คาดฝัน เกิดขึ้นระหว่างการทำงานใหญ่ครั้งนี้ อย่างอุปกรณ์ที่ไม่เชื่อมต่อกัน สายที่เตรียมมาเชื่อมต่อกล้องไม่ได้ แต่ภาพถ่ายแล้วต้องลงเลย ก็ทำให้หน้างานเครียดเช่นกัน แต่ด้วยความที่ทีมงานดี คอยซัพพอร์ตกัน จึงสามารถแก้ปัญหาด้วยการยืมกล้องคนอื่น จนงานสำเร็จ

เรื่องไม่คาดคิดมีแล้ว เรื่องที่เธอประทับใจก็มีไม่แพ้กัน อย่างการได้เจอกับ “มิเชล โหย่ว” ผู้เป็นแรงบันดาลใจของใครหลายๆ คน

“เราไปดู Everything Everywhere All at Once เราก็ชอบหนังเรื่องนี้มาก เป็นเอเชีย ที่เราอิน เพราะมันใกล้ตัว ยิ่งพอเราได้เห็นมิเชล โหย่วได้รางวัล ซึ่งเราเคยไปถ่ายเขาในงาน Time’s Person of the Year ได้เห็นเขากล่าวสปีชที่งานอื่นๆ ก็รู้สึกอินกับความพยายามของเขา ในฐานะผู้หญิงเอเชียที่ทำงานในวงการ ที่พยายามเดินตามอเมริกัน ดรีม พอได้เห็นเขา ก็ตื่นเต้น ยิ่งเขาได้ออสการ์ ก็ดีใจ อย่างปีก่อนหน้านั้นมี Parasite ปีนี้มีเรื่องนี้ มันเป็นการเปิดกว้างความหลากหลายมากขึ้น มีความเป็น Global Citizen มากขึ้น”

และว่า “คอมมูนิตี้ของชาวเอเชีย อินกับเรื่องนี้”

“หลังถ่ายภาพ มันเป็นความรู้สึกรวมๆ ดีใจที่นิวยอร์ก ไทมส์ ส่งเรามาทำงานนี้ เพื่อนๆ คนรู้จัก ก็จะรู้ว่าเราพยายามมาเยอะ สู้มาเยอะ เขาก็ดีใจด้วย เพราะมันไม่ใช่ว่าอยู่ดีๆ แล้วจะมาได้เลย มันค่อยๆ เติบโต มีความผิดหวังก็เยอะ เราไม่ยอมแพ้ สู้มาจนได้ เหมือนต้นไม้ที่ออกดอก ออกผล”

“เหมือนเดินทางมาถึงเส้นชัยตัวเอง จากตอนแรก เราก็ฝันอยากถ่ายภาพให้ นิวยอร์ก ไทมส์ พอเราได้เริ่มถ่ายแล้ว ก็มองหาเป้าหมายต่อ จนวันนี้ได้ถ่ายออสการ์”

แม้ภาพที่เธอเล่า จะดูมีสีสัน แต่กว่าจะถึงวันนี้เธอบอกเลยว่า ไม่ใช่เรื่องง่าย ซึ่งเธอต้องพยายามฝึกฝีมือ เหมือนกับเชฟ ที่ต้องฝึกทำอาหาร ดูสูตรคนอื่น ต้องฝึกฝน ทั้งดูและทำ

“ที่เห็นว่า เราได้ถ่ายออสการ์ มันไม่ใช่ว่า มันมาง่ายๆ บางคนเห็นแล้วก็อาจจะคิดว่า Success แล้ว เราไม่ค่อยชอบคอมเมนต์ที่ว่า โชคดีจัง เพราะเราพยายามมาเยอะ จนค่อยๆ ได้โอกาสมากขึ้น เราล้มเหลว พัฒนางาน โดนปฏิเสธ แล้วก็พัฒนางาน กลับไปยื่นใหม่ ไม่ได้หมายความว่า มีอะไรที่ได้มาง่ายๆ”

“โชคดี เราอยู่ในยุคที่เขาเปิดโอกาส เปิดพื้นที่ให้ความหลากหลายทางเชื้อชาติ ก็เลยน่าจะมีโอกาสมากกว่าคนยุคก่อนๆ ในแง่ผลงาน ก็ต้องทำให้มันดีที่สุดเหมือนเดิม ตอนนี้ก็ยังต้องพยายามอยู่ การแข่งขันมันสูงมาก อยู่เฉยๆ ไม่ได้ คนอื่นจะวิ่งนำเราไป”