มาถึงโค้งสุดท้ายสำหรับละครฟอร์มยักษ์เรื่อง “คู่กรรม” วันนี้เลยขอนัดคุยกับอังศุมาลินเวอร์ชั่น 2013 อย่าง สาว หนูนา-หนึ่งธิดา โสภณ ที่เจ้าตัวเอ่ยปากว่าเป็นละครยาวเรื่องแรกในชีวิต พร้อมกับอัพเดทเรื่องราวต่าง ๆ ในชีวิตของเธอตอนนี้
ละคร “คู่กรรม” ใกล้จบแล้ว?“วีกหน้าก็จะอวสานแล้ว ฟีดแบ็กดีนะคะ คนให้ความสนใจกันเยอะ เวลาเจอใครก็จะเรียกว่า “อังศุมาลิน” เขาจะบอกว่าฉันเกลียดเธอมากเลย ทำไมทำตัวอย่างนี้เนี่ย เราก็พอใจนะ รู้สึกเหมือนสิ่งที่เราตั้งใจทำ มันประสบความสำเร็จและคนให้การตอบรับ ตอนแรก ๆ มีกดดันบ้าง แต่เราก็เปลี่ยนความกดดันให้เป็นข้อดี สำหรับเรื่องนี้ทุกซีนก็ยากหมดเลย เพราะว่าอังศุมาลินจะเป็นคนคิดเยอะ มีข้อขัดกับตัวเองตลอดเวลา ก็ต้องปรับเยอะค่ะ”
ก่อนหน้านี้เจอกระแสเปรียบเทียบเวอร์ชั่นละครกับภาพยนตร์ตลอด?“ใช่ค่ะ หนูนาก็อยากดูหนังนะ คือมันตีความคนละแบบกัน ละครมันยาว หนังก็ตีความอีกแบบ แต่มันน่าสนใจทั้งคู่นะ”
แล้วตอนนี้มีผลงานอะไรอีก?“มีเพลงประกอบละครเรื่องนี้ค่ะ ชื่อเพลง “ห้ามใจ” เป็นเพลงที่แทนความรู้สึกและคำพูดของอังศุมาลิน หนูนาก็ชอบมาก แล้วก็มีละครซิทคอม “ครัวซองทำนองรัก” ค่ะ กำลังถ่ายทำอยู่ เรื่องนี้จะเป็นคนละแนวเลย เป็นตลก ๆ ตึ่งโป๊ะ ๆ ตลอดเวลา”
เห็นหนูนาทำงานกับหลายค่ายมาก สัญญาจริง ๆ อยู่ที่ไหน?“ตอนนี้อยู่กับ “จีเอ็มเอ็ม ทีวี” แต่กับ “บรอดคาซท์” เราทำงานด้วยกันมาตั้งแต่ เด็ก ๆ ทางจีเอ็มเอ็มทีวีก็ยินดีอยู่แล้ว ถ้ามีบทอะไรที่เหมาะสม แล้วพี่ หน่อง-อรุโณชา ก็เป็นผู้ใหญ่ที่น่ารักมาก เอ็นดูมาตลอด หรืออย่าง “เอ็กแซ็กท์” เราก็เคยทำงานด้วยกัน ได้ร่วมงานทั้งละครเวที และละครทีวี พี่บอย-ถกลเกียรติ ก็เอ็นดูเรา ให้งานชิ้นใหญ่นี้มา หรืออย่าง “จีทีเอช” เอง ก็น่ารักมาก ไม่ว่าหนูนาจะมีผลงานอะไร ถึงแม้ไม่ใช่ของจีทีเอช เขาจะมาให้กำลังใจตลอด ก็ต้องขอบคุณผู้ใหญ่ทุกคน”
อยู่วงการมา 15 ปีแล้ว?“เราเข้าวงการตั้งแต่เดินต๊อกแต๊ก ยังไม่มีบทพูด เริ่มมาจากศูนย์เลย พูดประโยคเดียวก็เคย เล่นเป็นเด็ก ๆออกมา 1-2 ตอนก็เคย ตั้งแต่อายุ 6 ขวบ ตอนนี้อายุ 21 แล้ว ก็นานเหมือนกัน แต่เราไม่ได้มาคลุกคลีหรือว่ามีชื่อเสียง เราค่อย ๆ ก้าวไป ค่อย ๆ ไต่เต้าไปเรื่อย ๆ จนมาถึงน้องใหม่ร้ายบริสุทธิ์ ตอนนั้นเรียน ป.6 ตรงนี้อาจเพราะคุณแม่ส่งเสริมด้วย ตอนนั้นถือว่าเดินสายประกวดเลย จนคนถามว่ามาอีกแล้วเหรอ มาทำไม แต่คือเราก็ชอบ อยากจะแสดงความสามารถ ซึ่งที่ที่เราทำได้ก็คือเวทีประกวด ไปทุกที่เลย ไปหมดเลย”
มีอะไรในวงการที่อยากทำอีกไหม?“อยากเป็นพิธีกรค่ะ อยากเป็นมาก เพราะหนูนาเป็นคนชอบพูดด้วยไงคะ เราเห็นว่าคนที่ทำงานพิธีกรเป็นคนที่เก่งมาก เป็นคนที่คุมสถานการณ์ทุกอย่างในงาน ก็เลยอยากจะลองดู ก็เคยไปชิมลางบ้าง เคยไปเป็นพิธีกรรับเชิญรายการ “ชิงร้อยชิงล้าน” ตื่นเต้นมาก ก็สนุกมาก ก็ติดใจ พูดตรงนี้เลย ถ้ามีใครสนใจเรายินดีมากเลย”
สำหรับหนูนาคิดว่าต้องทำอะไรบ้าง เราถึงจะอยู่ในวงการได้นาน?“ที่สำคัญเลยคือต้องเป็นคนอ่อนน้อมกับผู้ใหญ่ ต้องเป็นคนรู้ตน รู้ตัวเองทำอะไรอยู่ ตัวเองเป็นใคร ไม่ใช่เป็นคนหลงตน ไม่ใช่หลงระเริงกับแสงสี ต้องพร้อมที่รับคำติแล้วก็พัฒนาตัวเองอยู่ตลอด”
ยอมรับไหมว่าอยู่ในวงการทุกคนพร้อมที่จะเอาใจเรา?“พอเราอยู่ในวงการทุกคนพร้อมที่จะเอาใจเรา เราต้องรู้ตัวเองว่าฉันคือใคร อย่าไปหลงกับคำที่คนอื่นสร้าง คุณแม่ก็สอนบ่อยว่าอย่าไปหลงคิดว่าตัวเองเป็นอย่างโน้นอย่างนี้นะ เราเป็นแค่เท่านี้เอง มีคนที่เก่งกว่าเราเยอะแยะ”
แต่ล่าสุดมีข่าวว่าหนูนาหยิ่ง?“ใช่ ได้ยินบ่อย แต่เราไม่ใช่คนหยิ่งนะ จริง ๆ พูดเลย เราร่าเริงมาก แต่บางคนเขาไม่เข้าใจการทำงานของคนในวงการ คิดว่าคนโน้นหยิ่ง คนนี้หยิ่ง แต่คือบางทีเขาอาจจะติดพันการทำงาน หรือมีผู้ใหญ่รอเราอยู่ก็ต้องรีบเร่งไป เลยไม่ได้หยุดถ่ายรูปให้หรือทักทาย แต่ถ้าช่วงที่เรามีเวลา หนูนาเชื่อว่าศิลปินทุกคนก็คงอยากเทคแคร์ ทุกวันนี้แฟนคลับกับหนูนาเป็นเพื่อนกันไปแล้ว เขาอยู่ตั้งแต่เรายังไม่มีใคร มากัน 1-2 คน จนเยอะขึ้น ถามว่าเสียใจกับข่าวไหม ก็เฉย ๆ นะ คิดว่าทุกคนน่าจะรู้ว่าเราเป็นกันเองมาก”
แต่ละข่าวสอนอะไรเราบ้าง?“เยอะค่ะ ที่ผ่านมาก็เป็นบทเรียนให้เรากลับมามองว่า เด็ก ๆ เราก็ยังไม่บรรลุนิติภาวะ อาจจะทำอะไรผิดพลาด แบบยังมีวุฒิภาวะไม่พอ แต่ก็เป็นบทเรียนหลาย ๆ อย่างที่ทำให้เราโตขึ้น ตอนนี้คุณแม่หัดให้เราทำอะไรหลาย ๆ อย่างเอง แต่คุณแม่ก็แอบงอนนะ เพราะเมื่อก่อนเขาจะดูแลทุกอย่าง พอเราเริ่มทำเอง เราก็รู้เลยว่าจริง ๆ เขาอยากทำ อยากช่วยแต่งตัว อยากให้เราเป็นเด็กตลอด”
การเรียนเป็นยังไงบ้าง?“เราค่อย ๆ ไปเรื่อย ๆ ค่ะ ตอนนี้เรียนอยู่ปี 2 คณะศิลปกรรมศาสตร์ สาขาการละคร มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ แล้วคือคณะที่หนูนาเรียนจะเน้นการปฏิบัติ ขาดไม่ได้เลย แต่อาจารย์จะคอยช่วย แต่ไม่ใช่ช่วยจนน่าเกลียด เราก็ต้องมาเรียนให้ครบนะ ต้องพยายามทำให้ได้ ก็แพลนไว้ว่าจะจบพร้อมเพื่อน เราก็ต้องขยันเพิ่ม ต้องลงซัมเมอร์ เกียรตินิยมอาจจะไม่ได้ เพราะเราต้องทำงานไปด้วย เวลาเรียนอาจจะไม่พอ อาจจะได้เกรด 3.00 นิด ๆ 2.8-2.9 คือเราโอเคนะ เราไม่ได้ห่วงเกรด แต่เราห่วงสิ่งที่ได้จากตอนที่เรียนมากกว่า ห่วงสังคม อยู่กับเพื่อน หลังจากเรียนจบก็อยากเรียนต่อเหมือนกัน แต่เดี๋ยวถึงตอนนั้นค่อยมาว่ากันอีกที”
แบ่งเวลายังไงบ้าง?“ยากเหมือนกันนะคะ เพราะว่าตอนนี้มีทั้งเรียนด้วย งานละครด้วย งานอื่น ๆ อีก เพราะว่าทุก ๆ อย่างอยู่ที่เวลาด้วย บางทีทำงานนี้อยู่แล้วต้องมีการเปลี่ยนแปลงกะทันหัน เราก็ต้องทำให้ดีที่สุดในทุก ๆ ด้าน แต่เราก็ยังใช้ชีวิตปกติ ยังไปเที่ยวกับเพื่อน แต่อาจจะไม่ได้บันเทิงเต็มร้อย หนูนาไม่คิดว่าชีวิตวัยรุ่นหายไปหรอก แต่เรามีชีวิตการทำงานเข้ามาไว เหมือนเราได้ประสบการณ์จากตรงอื่นเข้ามาด้วยมากกว่า”
แล้วความรักล่ะ มีหนุ่ม ๆ จีบไหม?“ทุกวันนี้ไม่ได้เจอใคร เจอแต่พี่บี้-สุกฤษฎิ์ ตั้งแต่ก่อนจะขึ้นปี 2 ตอนนี้กำลังจะขึ้นปี 3 แล้ว ก็ยังเจอพี่บี้อยู่ ก่อนหน้านี้ก็เจอแต่พี่ เต๋อ-ฉันทวิชช์ เราเจอแต่คนหน้าซ้ำ ๆ เดิม ๆ แต่ไม่มีเวลาเหงา เพราะต้องทำอย่างอื่นเยอะมาก ถ้ามีเวลาขอนอนดีกว่า แต่ไม่ได้หมายความว่าเราปิดนะคะ แต่เราไม่เจอใครจริง ๆ มากกว่า”
คุณแม่หวงลูกสาว?“บ้านนี้หวงมากค่ะ ทั้งคุณแม่คุณพ่อหวงทั้งลูกสาว-ลูกชายเลย บ้านเราไม่ใช่คนที่จะต้องออกจากบ้านไปเที่ยวกับเพื่อนทุกวัน ฉันต้องไปนอกบ้าน คือเรามีความสุขกับการที่ออกไปเที่ยวกับเพื่อนบ้าง ทำงาน ว่างก็ไม่เห็นต้องไปไหน ก็อยู่บ้าน”
แสดงว่าหนุ่ม ๆ เข้ามาต้องผ่านด่านคุณแม่เยอะเลย?“เยอะเลย “เลิฟมี เลิฟมายมัม” รักเราแล้วก็ต้องรักแม่เราด้วย เข้าทางแม่สิ (หัวเราะ)”
สเปกสูงหรือเปล่า?“ไม่นะ ปกติค่ะ ยังไม่เจอเลยจริง ๆ คือเราจะชอบคนที่ประทับใจด้วยครั้งแรก ชอบคนยิ้มสวย ตาสวย ชอบคนสูงเพราะเราตัวเล็ก ชอบคนขาวเพราะตัวเองผิวสีน้ำผึ้ง คือชอบสิ่งที่เราไม่มี แล้วก็ชอบคนร่าเริง สนุกสนาน ต่อล้อต่อเถียงได้ เข้าใจเราและเข้ากับครอบครัวเราได้ แต่ทุกวันนี้ยังบ้าดาราเกาหลีอยู่เลย ที่บ้านมีรูปดาราเกาหลีเต็มเลย หนูนาเป็นดาราที่บ้าดาราค่ะ หนูชอบ “คิม แจจุง” มาก แต่ไม่มีโอกาสได้เจอกันเลย เคยได้เจอเขาทางทีวี (หัวเราะ) เราเคยไปตามตอนมาเมืองไทยด้วยนะ ไปยืนถือป้ายไฟ คือมีแก๊งแฟนคลับที่เรารู้จักก็ชวน ๆ กันไป นี่แหละคือประเด็นว่าทำไมถึงไม่มีแฟน (หัวเราะ)”
มีมุมไหนของหนูนาที่คนไม่ค่อยรู้ไหม?“ไม่มีนะ เราเป็นคนเปิดเผย (หัวเราะ) เวลาคนถามก็จะเล่าเกินคำ ถาม แต่บางทีเรื่องส่วนตัวก็ไม่ได้เล่า ใครจะรู้ว่าบางทีเราก็เป็นคนเงียบ ๆ เป็นคนเซ้นซิทีฟมาก อ่อนไหว ขี้แง แล้วก็ซุ่มซ่ามมาก ทุกวันนี้ยังเดินล้ม อยู่เลย หน้าทิ่มเดินไม่ดูทาง ไม่ค่อยห่วงสวย จนแม่บอกว่าโตแล้ว บางวันไปมหาวิทยาลัยเพื่อนยังตกใจ เพราะหน้าสดมาก แต่จะตื่นมาแต่งหน้าก็เหนื่อยไม่ไหว”
สุดท้ายถามถึงคติที่ใช้ในการดำเนินชีวิตทุกวันนี้?“ทำวันนี้ให้ดีที่สุดค่ะ เพราะหนูเป็นคนมองปัจจุบันว่าวันนี้เป็นยังไง ๆ เมื่อก่อนมีคติคือ “รากฐานของตึกคืออิฐ รากฐานของชีวิตคือการศึกษา” ดูสวยเนอะ เหมือนเป็นอธิการบดี เมื่อก่อนใครถามก็จะตอบแบบนี้ ตลกดี แต่นั่นคือตอนเด็ก ๆ ไง”
© 2011 - 2026 Thai LA Newspaper 1100 North Main St, Los Angeles, CA 90012