Inside Dara
รวม 10 ดาวดับกลับมาดัง

ชีวิตมีเกิดก็มีดับ มีรุ่งก็มีร่วง แต่โอกาสน้อยยิ่งกว่าน้อยที่จะเห็นดาวร่วงแล้วกลับมารุ่ง ในรอบปีที่ผ่านมาพบว่ามีดาวที่ดับ อับแสงไปแล้ว กลับมาเปล่งแสงแวววาวได้อีกครั้ง บางคน ใช้ความเพียรพยายามไขว่คว้าโอกาสด้วยตัวเอง แต่ก็มีบางรายโชคดีกว่าได้รับโอกาสอย่างไม่คาดหมาย จะมีใครบ้าง ไปดูกัน

เป๊ก–ผลิตโชค

อาจจะลืมๆไปแล้วว่า เป๊ก เคยอยู่ในวงบอยแบนด์ G–BOYZ ค่ายแกรมมี่ เมื่อปี 45 ก่อนที่จะถูกดึงเอามาเป็นศิลปินเดี่ยวมีเพลงดังเยอะทีเดียวอย่าง “ไม่มีใครรู้” “หรือแค่ขำๆ” “ใจหนึ่งก็รักอีกใจก็เจ็บ” จากนั้นก็มารวมตัว 3 หนุ่มทรีโอ “เป๊ก–ออฟ–ไอซ์” ทำเพลงออกมาก็ดังอีก แต่แล้วจู่ๆก็เหมือนชีวิต จะช็อตไปดื้อๆ ข่าวคราวเงียบหายไปจากกระแส ทำให้ เป๊ก มีเวลาอุปสมบทถวายเป็นพระราชกุศลแด่ในหลวงรัชกาลที่ 9 พอสึกออกมา เป๊ก ก็เหมือนได้รับการชุบชีวิตใหม่ ช่วงนั้นเวิร์คพอยท์ทำรายการ “The Mask Singer หน้ากากนักร้อง ซีซั่น 1” เชื้อเชิญนักร้องดังๆไปมากมาย แต่กลับไม่ได้รับความสนใจ โอกาสจึงมาถึง เป๊ก จนกลายเป็นที่มาของ “หน้ากากจิงโจ้” และทำให้ชีวิตของ เป๊ก–ผลิตโชค ทะยานขึ้นเป็นศิลปินดังที่มีแฟนคลับมากที่สุดคนหนึ่ง

ดีเจนุ้ย– ธนวัฒน์

เริ่มต้นแค่เดินเฉียดๆ วงการบันเทิงโดยเป็นนักข่าวประจำรายการวิทยุ “แฉแต่เช้า” จากนั้นก็ได้ปรากฏหน้าตาให้เห็นเป็นนักแสดงรับเชิญตามรายการของแกรมมี่ ซึ่งเจ้าตัวก็ได้สร้างเอกลักษณ์ให้โดดเด่นด้วยการย้อมผมเป็นสีทองจนเป็นที่มาของฉายา “นุ้ย หัวทอง” ด้วยคาแรกเตอร์เว่อร์วังทำให้ นุ้ย ได้รับโอกาสตามมาอีกมากมายทั้งเป็นดีเจคลื่น EFM จากนั้นเมื่อมีงานนอกค่ายมากขึ้นก็ออกมารับงานอิสระ โดยค่อยๆเบนเข็มไปทางเป็นเซเลบในละครและรายการทีวีต่างๆ แต่ที่เข้าตาสร้างชื่อให้ นุ้ย ก็คือเป็นนักสืบในรายการ “I Can See Your Voice” และกรรมการใน “The Mask Singer” ทำให้ นุ้ย ขึ้นไปเป็นเซเลบทีวีตัวท็อปถึงขนาดต้องแย่งตัวกัน

ซาร่า–นลิน

สาวน้อยจากเชียงใหม่ลูกครึ่งไทย-เยอรมัน ที่หลงใหลวงการบันเทิงหอบความสามารถเข้าบ้าน “อะคาเดมี แฟนเทเซีย ซีซั่น 3” ตามล่าฝันในเส้นทางนักร้องอยู่ 2 ปี ก็ยังรู้สึกเหมือนย่ำอยู่กับที่ไม่มีความก้าวหน้า จนวันดีคืนดีจู่ๆ ซาร่า ลุกขึ้นมาปฏิวัติตัวเองกลายเป็น นิวซาร่า บ้าเต็มพิกัด เริ่มเปล่งประกายให้เห็นจากรายการ “ตีสิบ” ที่ เข้าขาความบ้ากับ แพท– ณปภา ด้วยเอกลักษณ์ไม่เหมือนใครจนได้ฉายา “ซาร่ามุกแป้ก” จากนั้น ซาร่า ก็ถูกดึงไปร่วมรายการ “I Can See Your Voice” ตามด้วย “The Mask Singer” ซึ่งเป็นช่วงชีวิตที่พีกที่สุด ลีเดีย–ศรัณย์รัชต์

อายุเพียง 10 ขวบ ลีเดีย ก็เริ่มเรียนร้องเพลงแล้วและเน้นแนวอาร์แอนด์บี จนจรดปากกาเซ็นสัญญาเป็นนักร้องค่ายอาร์เอส ทำเพลงออกมารวม 5 อัลบั้ม มีฉายาว่า “เจ้าหญิงอาร์แอนด์บี” จนเมื่อตัดสินใจไม่เซ็นสัญญาทำเพลงต่อ ลีเดีย ก็วางไมค์หันไปเล่นละครเป็นดาราในสังกัดค่ายโพลีพลัส ชีวิต ลีเดีย พลิกผันอีกครั้งเมื่อตัดสินใจแต่งงานมีครอบครัวจนเป็นคุณแม่ลูกหนึ่ง ซึ่งก็นึกว่า ลีเดีย จะวางทุกอย่างลงแล้ว ที่ไหนได้ไปโผล่ในรายการ “The Mask Singer ซีซั่น 2” เป็น “หน้ากากซูโม่” ความสามารถและเสียงร้องของ ลีเดีย ได้รับการกล่าวขานอีกครั้ง อีกทั้งยังเป็นการแจ้งเกิดใหม่ของ ลีเดีย ในฐานะนักร้องซึ่งเป็นอาชีพที่ตัวเองรัก

พิงกี้–สาวิกา

เล่นละครตั้งแต่ 7 ขวบ และที่ดังมากก็ตอนเป็น “ดาวพระศุกร์” ในวัยเด็ก จากนั้น พิงกี้ ก็เล่นละครอยู่ช่อง 7 จนโตเป็นสาว ก่อนจะไม่เซ็นสัญญาต่อและออกมาเป็นนักแสดงอิสระเล่นละครหลากหลายช่อง ในช่วงชีวิตที่กำลังเป็นนางเอกเนื้อหอม พิงกี้ ก็มีความรักและตัดสินใจทิ้งวงการบันเทิงไปมีครอบครัว แต่สุดท้ายชีวิตสมรสก็พัง จึงหวนกลับคืนวงการอีกครั้ง พิงกี้ ได้โชว์ความสามารถในด้านร้องเพลงที่หลายคนไม่คาดคิดเมื่อไปโผล่รายการ “The Mask Singer ซีซั่น 3” เป็น “หน้ากากมาคอว์” เมื่อ พิงกี้ คัมแบ็กคราวนี้ก็มีงานพุ่งเข้าหาทันที ซึ่งในปีนี้น่าจะได้เห็น พิงกี้ กลับมาทวงบัลลังก์นางเอกแถวหน้าอีกครั้ง

มารีญา พูลเลิศลาภ

ใครที่ชอบดูถูกผู้หญิงสวยว่าไร้สมองขอให้ตรองซะใหม่ มารีญา เรียนจบปริญญาที่ประเทศเนเธอร์แลนด์ แล้วมาจบโทที่สวีเดน ตอนเรียนก็เป็นนักกิจกรรมตัวยงระดับหัวหน้ากลุ่ม เป็นพรีเซ็นเตอร์ ของมหาวิทยาลัย แถมยัง รับจ๊อบเป็นครูสอนภาษาอังกฤษอีกตะหาก เมื่อกลับมาเมืองไทย มารีญา มีโอกาสก้าวเข้าวงการบันเทิงด้วยการเป็นนักร้องจนเป็นที่มาของฉายา “มารีญา บุ๋ง” ซึ่ง “บุ๋ง” เป็นหนึ่งในเพลงดังของเธอนั่นเอง ระยะหลังเราก็ลืมชื่อนักร้องคนนี้ไปแล้วล่ะ มารีญา หันมารับงานเดินแฟชั่น ก่อนจะลองไปสมัครประกวดมิสยูนิเวิร์สไทยแลนด์ 2017 และคว้ามงกุฎมาได้ จากนั้นก็เป็นตัวแทนไปประกวดเวทีใหญ่ที่สหรัฐอเมริกาเข้ารอบ 5 คน สร้างความภาคภูมิใจให้แก่คนไทย จนกลายเป็นขวัญใจของคนทั่วประเทศไปแล้ว

กบ–สุวนันท์

แสดงละครช่อง 7 ตั้งแต่อายุ 14 ปี ดังสุดขีดตอนเล่นละครเรื่อง “ดาวพระศุกร์” มีคู่ขวัญเป็นของตัวเองคือ หนุ่ม–ศรราม แต่กลับแต่งงานกับพระเอกอีกคนนั่นคือ บรู๊ค–ดนุพร ที่เล่นคู่กันในละคร “ลูกตาลลอยแก้ว” จนทำให้พบรักก่อนที่จะแต่งงานและทิ้งวงการบันเทิงหันไปทุ่มเทให้กับครอบครัวอย่างเต็มตัว ใครจะคิดว่า กบ จะหวนคืนจอแก้วอีกครั้งในขณะที่เป็นแม่ลูกสองแล้ว และยิ่งไม่น่าเชื่อว่า กบ จะกลับมาดังได้อีกครั้งจากละครเรื่อง “น้ำเซาะทราย” ที่หวนมาเล่นคู่กับ หนุ่ม–ศรราม อีกครั้ง ตอนรับเล่น กบ เป็นกังวลว่าจะเล่นได้มั้ย แต่พอเข้ากล้ององค์ก็ลงทันที เห็นฝีมือแล้วทุกคนบอกว่า “แม่กลับมาแล้ว”

เชียร์–ฑิฆัมพร

คว้ามงจากเวทีมิสทีนไทยแลนด์เมื่อปี 45 ก็ก้าวลงละครเรื่องแรก “เบญจา คีตา ความรัก” ในปีถัดมา อยู่กับช่อง 7 มา 13 ปี มีละคร 30 เรื่อง ยิ่งเล่นละครยิ่งหดลดเหลือแค่ปีละเรื่อง เชียร์ รู้ตัวเองว่าหมดเวลากับบ้านหลังนี้แล้วจึงออกมาเป็นดาราอิสระและก็รู้ว่ามาถูกทางแล้ว แค่ละครเรื่องแรกที่เล่นกับช่อง 3 เรื่อง “ซ่อนรักกามเทพ” ก็กลับมาดังอีกครั้งมีแฟนคลับเพิ่มขึ้นเพียบ และในปีนี้มีละครถ่ายทำตอนนี้ 3 เรื่องแล้ว

ใบเฟิร์น–พิมพ์ชนก

ภาพยนตร์เรื่อง “สิ่งเล็กๆ ที่เรียกว่า...รัก” แจ้งเกิดนางเอก ใบเฟิร์น และสร้างปรากฏการณ์เป็นหนังนอกสายตาที่ยืนโรงฉายได้นานร่วม 2 เดือน อีกทั้งหนังเรื่องนี้และชื่อของ ใบเฟิร์น ยังดังไกลไปอีกหลายประเทศ โดยเฉพาะที่จีนหนังเรื่องนี้ออกฉายถึง 6 พันโรง แต่ผลงานหนังหลังจากนั้นก็ไม่เข้าตาพอหันมาเซ็นสัญญา เล่นละครช่อง 7 ก็แป้กอีกจึงมีเล่นแค่ปีละเรื่องเท่านั้น แต่พอมาเป็นดาราอิสระ ใบเฟิร์น เปล่งประกายทันที ละครเรื่อง “หลงไฟ” เหมือนพลิกชีวิต ใบเฟิร์น ให้รีเทิร์นกลับสู่เส้นทางดาวรุ่งพุ่งแรงอีกครั้ง

บอม–ธนิน

เล่นละครมา 6 ปียังสลัดฉายา “พระเอกก้อนหิน” “พระเอกท่อนไม้” ไม่หลุด แม้จะได้โอกาสดีเป็น 1 ในคุณชายแห่งซีรีส์ “สุภาพบุรุษจุฑาเทพ” ทางช่อง 3 แต่ บอม เป็นคนเดียวที่ไม่เปรี้ยง แม้กระนั้นแฟนคลับก็ยังให้การสนับสนุนตลอดมา จนมาละครเรื่องล่าสุด “เดือนประดับดาว” ต้องร้องว้าววว! เลย เพราะ บอม เปลี่ยนไปกลายเป็นพัฒนาฝีมือจนได้รับ คำชมเชยประหนึ่ง “ก้อนหินได้ถูกสลักเสลาจนเป็นประติมากรรมแล้ว” ละครอีก 3 เรื่องของ บอม ที่รอฉายจะเป็นเครื่องยืนยันอีกครั้งว่าเป็น “บอม 4.0” แล้ว.