Inside Dara
"นุ่น" ตีบท "อีแพง" แตกกระจาย - ไม่เพี้ยนไม่ติสต์ ธรรมะส่งชีวิตเป็นปกติ

เพิ่งควงแฟนหนุ่ม "ท็อป"พิพัฒน์ อภิรักษ์ธนากร กลับจากไปดูงานออกแบบที่ประเทศอิตาลี พอมาถึงเมืองไทย นางเอกสาว "นุ่น"ศิรพันธ์ วัฒนจินดา สุดแสนเป็นปลื้ม เมื่อทราบว่ากระแสละครเรื่อง "บ่วง" ทางช่อง 3 นั้นมาแรง

โดยเฉพาะบท "อีแพง" ผีสาวอาฆาตแค้นที่เธอถ่ายทอด


ตอนนี้ละครเรื่อง "บ่วง" กระแสแรงมาก?

นุ่น - "ขอบคุณมากค่ะ ตอนอยู่อิตาลีไม่ได้ดูเลย แต่พอกลับมามีคนเรียกอีแพง มีทั้งคนสงสารและไม่ชอบ ส่วนตัวดีใจมาก นึกว่าจะเกลียดอย่างเดียว สำหรับทุกกระแสตอบรับเหมือนนุ่นได้รับรางวัลที่สุดในชีวิตแล้ว ไม่คิดว่าทำงานแล้วเราเปลี่ยนบทบาท จะมีการตอบรับได้ดีขนาดนี้"

"แรกที่พี่ทีมงานบรอดคาซท์ฯ ติดต่อจะให้นุ่นเล่นเรื่อง บ่วง ในบทที่พี่หมู-ภรผกาเล่น นุ่นก็รับปากทันที ดีใจมาก กลับบ้านไปบอกแม่ แม่หน้าบึ้งเลย ด้วยความที่เขาเป็นครูถ้าลูกไปเล่นบทกรี๊ดกร๊าด บอกไม่ต้องเล่นเลย แค่เป็นดาราก็ไม่ชอบแล้ว นุ่นก็ดื้อเงียบมาก คิดในใจว่าพอเปิดกล้องแล้วค่อยบอก เพราะบทนี้เป็นบทที่ดีมาก ใครๆ ก็อยากเล่น เขาเลือกเราแล้วยังไงก็ไม่ยอมเสียโอกาสนี้"


เห็นพี่หน่อง (อรุโณชา) และพี่ใหม่ (ภวัต) ผู้กำกับฯ บอกเลือกนุ่นมารับบทนี้โดยเฉพาะ?

นุ่น - "ดีใจและขอบคุณมาก นุ่นทำงานนี่ไม่เคยต่ำกว่าร้อยแน่ๆ พอมารับบทนี้ถามว่าหนักมั้ย อารมณ์ไม่หนักเพราะนุ่นไม่เคยจินตนาการการแสดงก่อน แต่ที่หนักคือเหนื่อยกายมากๆ เพิ่งรู้ว่าการเล่นบทเครียดใช้ฟีลลิ่งจริง ร่างกายเมื่อยมาก กลายเป็นคนติดหมอนวดมาก ยิ่งเป็นซีนปะทะกับพี่เหมียว (ชไมพร) ด้วยแล้วยิ่งไปกันใหญ่ กับบทนี้ไม่กล้าบอกว่าไม่ยาก แต่เต็มที่ ตั้งใจ เล่นแล้วเหนื่อยกายมาก ต้องใช้พลังงานเยอะ"


ต้องมาร่วมงานกับ "หมู-ภรผกา" ที่เคยรับบทนี้ในเวอร์ชั่นเก่าเป็นอย่างไรบ้าง?

นุ่น - "พี่หมูเป็นคนดีมาก ส่วนตัวนุ่นลึกๆ แอบกังวลว่าเขาจะรู้สึกยังไงที่เรามาเล่นบทที่พี่เขาเคยเล่น เอาเข้าจริงยังไม่ทันถาม พี่หมูสอนนุ่นก่อนเลย อึ้งเหมือนกัน เขาเป็นคนใจดีมาก จะสอนวิชาการเป็นผี การเคลื่อนไหวหน้าที่ว่าเป็นตรรกะเลย เป็นเรื่องที่เราไม่เคยเรียนรู้มาก่อน ไม่เคยคิดว่าเขาจะมานั่งสอนแบบนี้เลย และก็จะมีพี่เหมียว, มี้-พิศมัย ที่คอยแนะนำเกร็ดเล็กเกร็ดน้อย ดีใจมาก เพราะเขาเหมือนไอดอล เหมือนคนในตำนานของวงการ แล้วพี่หมูไม่เคยเปรียบเทียบ อีแพง สมัยนั้นเลยว่าดังยังไง เขาแค่สอน แนะนำ ไม่เคยพูดเปรียบเทียบจนทำให้เรารู้สึกอะไรเลย"


กดดันไหมกับการรับบทอีแพง?

นุ่น - "เอาจริงๆ เฉยๆ มาก เฉยๆ คือ เฉยๆ คนมาถามรู้สึกยังไงที่มาเล่นละครรีเมก อยากตอบตรงๆ ว่ามันนอกเหนือจากอาชีพนุ่นที่เป็นนักแสดง นุ่นถ่ายทอดการเป็นตัวละครได้ดีที่สุดเท่าที่ทำได้ หน้าที่อย่างอื่นอย่าเทียบของเก่ามันเกินขอบเขตและเป็นสิ่งที่เราอย่าไปยึดติด ทุกอย่างต้องมีการเปลี่ยนแปลง เอาแค่ใจความสำคัญของเรา ทุกครั้งที่นุ่นถ่ายเสร็จแต่ละซีนก็จะให้คะแนนตัวเอง วิจารณ์ตัวเองก่อนคนอื่นจะวิจารณ์"


บท "อีแพง" ทำให้กลับมาแจ้งเกิดอีกครั้ง?

นุ่น - "ความรู้สึกแรกดีใจ เป็นความดีใจที่อยู่บนความเป็นจริง ไม่เหมือนตอนเล่น "เพื่อนสนิท" ตอนนั้นดีใจมันลอยมาก พอเจอปัญหาบางอย่างก็จบเลย แต่ตอนนี้พอดีใจนิดนึงก็มีสติมากขึ้นว่าเดี๋ยวคำชื่นชมเหล่านี้ก็จะผ่านไป ทุกอย่างมีเกิดมีดับ วันนี้มีคนชม เข้ามาถ่ายรูปเยอะแยะ เราขอบคุณจากใจและรู้สึกดีใจ พอดีใจแป๊บนึงก็จะมีสติขึ้นมาว่าอย่าไปยึดติดกับคำดีใจเพราะเดี๋ยววันนึงคนก็ลืม ก็จะมีอะไรดึงให้อยู่กลางๆ มีสติ"


มีบทไหนที่อยากเล่นอีก?

นุ่น - "อยากเล่นเป็นคนตาบอด คนใบ้ อย่างตอนนี้คนเข้าใจเราเพราะพูด แต่ถ้าเมื่อไหร่ที่พูดไม่ได้จะถ่ายทอดอารมณ์ยังไง เหมือนอย่างคนตาบอดถ้าไม่เห็นจะเป็นยังไง อยากเรียนรู้หมด เพราะเวลาและโอกาสในการทำงานเรามีประมาณนึง ทุกคนมีช่วงเวลาการทำงาน อะไรที่เราค้นคว้าและเรียนรู้ได้ก็อยากทำ"

"แม้มีบทไม่มากแต่เป็นบทที่ทำให้เปลี่ยนแปลงเราก็จะเล่น เคยบอกแม่ว่าถ้ามีบทโกนหัวแล้วนุ่นชอบขอนะแม่ อยากทำงานที่ได้เรียนรู้และอยากเปลี่ยนแปลงตัวเอง ไม่แน่วันนึงอายุ 70-80 แล้วความจำยังดีอาจเล่นเป็นคุณยายที่เปรี้ยวๆ หน่อย ไม่อยากทิ้งงานแสดงเพราะเรารักมัน ชอบงานแสดงมาตั้งแต่แรก ไม่อย่างนั้นจะไม่ทนกับคำด่า ดำก็ดำ ปากก็กว้าง เป็นนางเอกได้ไง และอยากให้รู้ว่านุ่นไม่ได้อยากเป็นดารา แต่อยากเป็นนักแสดง"


อยู่วงการมาจะ 8 ปีแล้ว ชีวิตเปลี่ยนไปเยอะไหม?

นุ่น - "เยอะค่ะ ที่เปลี่ยนเยอะสุดคือความคิด จากที่มีหลายสเต็ป จากเหวี่ยงๆ ดิ่งสุด มากลางๆ จนตอนนี้มากลางๆ เรียบๆ สบายๆ ทั้งหมดต้องขอบคุณวงการทำให้ได้เห็นการเปลี่ยนแปลงโลกภายนอก อย่างวันนี้มีคำนินทา อีกวันมีลาภยศ ทำให้เห็นสัจธรรมมากกว่าคนอื่น นุ่นไม่ได้เพี้ยน ไม่ได้ติสต์ แต่รู้สึกว่าธรรมะทำให้ใช้ชีวิตได้เป็นปกติ"

"นุ่นเบื่อมากที่เมื่อพูดถึงธรรมะแล้วคนชอบคิดว่าเป็นคนดี แต่นุ่นเป็นคนปกติ มีบางวันที่หงุดหงิด แย่ เพียง แต่มีสติ ปล่อยวาง อย่างคนบอกว่าเราเป็นนางเอกติสต์ ไม่รู้นะ เป็นคนแบบนี้เฉยๆ นี่ดีขึ้นนะ พออยู่สังคมในวงการรับแขกนิดนึง เรียก ว่าฝึกนานมาก ไม่ใช่เราเปลี่ยนตัวเองรับแขกเพื่อให้คนชอบ แต่เปลี่ยนตัวเองเอาที่เราสบายเป็นปกติ อาจไม่เคยเป็นนางเอกที่อยู่ในกรอบอย่างที่เขาวางไว้ แค่เราเป็นอย่างนี้ ไม่ได้อยากเทพ"


อะไรที่ทำให้เริ่มสนใจธรรมะ?

นุ่น - "พวกกระทู้พวกนี้ ขอบคุณมาก แม้แต่คำอะไรก็ตามทำให้นุ่นได้ปฏิบัติกับตัวเองทุกครั้งที่ได้ฟังได้ยิน เมื่อก่อนรู้สึกว่าต้องต่อสู้ เอาชนะกับคำพูดพวกนี้ เมื่อฉันไม่สวยก็จะเอาชนะเรื่องฝีมือ แต่สุดท้ายสิ่งที่เราต้องเอาชนะคือความคิดจิตใจเรา ต่อสู้กับตัวเอง" เพราะทุกสิ่งที่เกิด ล้วนแล้วอยู่ที่ตัวเองทั้งสิ้น


ปล่อยรักชิลชิลไม่คาดหวัง

คบกับแฟนหนุ่ม "ท็อป-พิพัฒน์" มาจะ 5 ปีแล้ว แต่นางเอกสาว "นุ่น-ศิรพันธ์" ก็ยังมีความรู้สึกว่าชีวิตยังต้องมีการเรียนรู้และเปลี่ยนแปลง โดยตอนนี้กราฟชีวิตรักของเธอกับแฟนหนุ่มยังอยู่ในเส้นที่ไม่แกว่งมาก

นุ่นกล่าวว่า "กับท็อปยังมีอะไรที่ต้องปรับกันอยู่ตลอด ไม่มีทางที่คนเราจะเหมือนกัน เห็นตรงกันร้อยเปอร์เซ็นต์ เพียงแต่ไม่อยากมองว่ามีปัญหาอะไร เรามองทีละเรื่องดีกว่า"

"คบกันแล้วเดี๋ยวนี้เหมือนเพื่อนเหมือนบัดดี้ อย่างตอนไปอิตาลีด้วยกัน วันแรกๆ จะคุยกันเม้าธ์กัน ถ่ายรูปกัน วันหลังๆ เหมือนคุยกันสองคน เพราะเราแยกกลุ่มมาเหมือนเหนื่อย ถ้าเป็นเมื่อก่อนเป็นแฟนกันใหม่ๆ ก็จะแบบเหนื่อยมั้ยตัวเอง แต่เดี๋ยวนี้ก็แค่ เหนื่อยมั้ยโอเคนะ เป็นอีกอารมณ์นึง"

"บางทีถามกันเองว่าตกลงเราอยากได้แฟนหรือเพื่อน เขาอาจเป็นเพื่อนเราหรือเปล่า เพราะนุ่นโตมามีพลทหารเป็นพี่เลี้ยง เรียนวิศวะก็มีแต่เพื่อนผู้ชาย บางทีจะขำว่าเป็นแฟนต้องสวีตกว่านี้มั้ย นุ่นว่าเป็นกราฟที่สบายๆ อาจไม่ได้คาดหวังมากขึ้น เมื่อก่อนจะคาดหวังความสัมพันธ์ว่าจะต้องเป็นสเต็ปนั้นสเต็ปนี้ ตอนนี้โตและเรียนรู้กันมากขึ้น ไม่ยึดติดความสัมพันธ์แล้ว ถ้าวันนี้ยังสบายๆ อยู่ก็เป็นไป แต่ถ้าวันนึงไม่ใช่ เสียใจนะ แต่ก็มีบางอย่างให้ฉุกคิดว่ามีเกิดก็ต้องมีดับ มีความเปลี่ยนแปลง"

มีมุมสวีตหวานกันบ้างหรือเปล่า นุ่นปฏิเสธ "ไม่มีเลย ขำมาก นุ่นน่ะเป็นคนชอบเซอร์ไพรส์ ตั้งแต่คบ กันมาเขาทำให้เรารู้สึกว่าเอาเถอะๆ เขาเป็นคนไม่ค่อยแสดงออกมาก อย่างวันเกิดเราอยากได้ของขวัญ เดาได้เลยว่าเขาให้อะไร แต่สำหรับเขาคือถ้าเราอยากได้อะไรเขาก็จะพาไปซื้อ สุดท้ายนุ่นเรียนรู้ตัวเองว่าอย่าไปแก้ที่เขา แก้ที่ตัวนุ่นเอง ลดความคาดหวังของตัวเอง แก้ที่คนอื่นไม่ได้บางทีเราน้อยใจเอง"

คบกันมา 5 ปีถึงวันนี้ เธอบอกไม่ได้มองอนาคต แต่ยอมรับว่าคบกันครั้งแรกมีสเต็ป มองเห็นภาพ แต่พอโตขึ้นเรียนรู้มากขึ้น

ถามว่าอะไรที่ทำให้คบกันได้นาน ดาราสาวให้คำตอบ "เขาเป็นคนดีคนนึง นุ่นชอบคนที่ความคิด นุ่นว่าคนจะเท่ จะหล่อ อยู่ที่ความคิด เรื่องหึงหวงเขาไม่เคยมีเลย ส่วนนุ่นเองก็ธรรมดา มีถามบ้างว่าใคร อะไร แต่ก็สบายๆ" "เรื่องคนจับตามองนุ่นไม่ได้สนใจ การที่นุ่นพยายามไม่ยึดติดอะไรมาก เป็นอีกเรื่องที่ทำให้ปล่อยวาง อย่างเมื่อก่อนคิดเยอะเวลาจะออกงานคู่กัน จะเดินหรือไปด้วยกัน เหมือนมีเปลือกบางอย่างครอบเราอยู่ แต่ตอนนี้ปล่อยมันไป เราแค่รู้สึกกันยังไงเป็นเรื่องสำคัญ เรื่องคนอื่นเป็นแค่ภายนอกที่เราควบคุมไม่ได้ สิ่งที่ควบคุมได้จริงๆ น่าจะเป็นความคิดเรา"

"ตอนนี้อยู่แค่ว่าสิ่งที่เราคุมกันทั้งคู่ยังไปด้วยกันได้อยู่มั้ย นุ่นว่าคำว่าสบายๆ เป็นคำที่พูดง่ายแต่ทำยาก กว่าจะทำให้ปกติได้ต้องใช้เวลา ประสบการณ์การเรียนรู้เหมือนกัน"

ที่บ้านว่าอย่างไรบ้างกับการคบกัน มีถามเรื่องแต่งไหม นางเอกสาวแง้ม "เขาไม่พูดอะไรเลย ถามว่าเขาชอบหรือไม่ชอบท็อป เขาเก็บอาการจะตาย ที่บ้านจะเฉยๆ ไม่ได้กดดัน แค่มองในฐานะคนเป็นพ่อเป็นแม่ไม่ได้ว่าอะไร ส่วนคุณพ่อคุณแม่ท็อปน่ารัก ไม่เคยมาเปรยๆ เรื่องแต่งงานเลย จะสบายๆ มากกว่า อย่างพ่อกับแม่นุ่นคงไม่คิดด้วยซ้ำว่าจะได้แต่งงาน" ถ้าให้เปรียบความรักของ "นุ่น-ท็อป" เป็นสีอะไร ดาราสาวกล่าวว่า "สีขาวได้มั้ย เรียบๆ สบายๆ ดีกว่าค่ะ" มายาทำชีวิตเปลี่ยน

ถูกเลี้ยงดูมาแบบเข้มงวดโดยมีคุณพ่อที่เป็นทหาร และคุณแม่ที่เป็นครูเป็นแบบอย่างให้ดู ซึ่งสาว "นุ่น-ศิรพันธ์" เล่าว่า

"เขาไม่มีกฎแต่แค่ทำให้เราเห็น ตื่นนอนมาจัดที่นอนเป๊ะมาก อย่างคุณแม่ไม่เคยให้นุ่นไปเรียนพิเศษ แต่จะสอนการบ้านเอง ทำผิดตีเลย และมีกฎข้อเดียวในการเรียนคือสอบห้ามได้เลข 2 ตัว จำได้ว่าป.4 สอบได้ที่ 11 ทำให้นุ่นถูกแม่ตี 11 ที ตอนนั้นไม่ได้รู้สึกเแตกต่างมาก เพราะเราซึมซับมาเรื่อยๆ" "พอเข้ามหาวิทยาลัยมันดูแตกต่าง ยิ่งมาทำงานในวงการเหมือน มีสปอตไลต์อยู่กับตัวตลอด เราไม่คุ้นเคยกับสังคมแบบนี้ ไม่ค่อยได้ใช้ชีวิตเหมือนวัยรุ่นทั่วไป วันไหนพอมีเข้าชมรมก็คิดแล้วว่าทำยังไงไม่ต้องเข้าชมรม เพราะเป็นคนไม่ชอบกิจกรรรม ไม่ชอบคนหมู่มาก ชอบเงียบๆ ตอนมาใช้ชีวิตในวงการจึงต้องปรับตัวเยอะมาก"

ผลงานแรกในวงการบันเทิง คือ ภาพยนตร์เรื่อง "เพื่อนสนิท" และละคร "แผ่นดินหัวใจ" ทางช่อง 3 ที่ถ่ายพร้อมๆ กัน

กับภาพยนตร์เรื่อง "เพื่อนสนิท" นุ่นรับทำให้ชีวิตเปลี่ยนแปลงทั้งเรื่องดีและร้าย "ตอนนั้นอินเตอร์เน็ตเริ่มมีกระทู้ที่อ่านแล้ว นอยด์ มีทั้งบวกและลบรับไม่ทัน จากตอนแรกดีใจ หลังๆ โดนด่าเยอะ เป็นครั้งแรกที่จิตตก นั่งร้องไห้อยู่บ้านไม่ไปไหน เป็นเรื่องที่โหดร้ายในชีวิตมาก ครั้งนั้นเป็นครั้งแรกเริ่มเข้าหาธรรมะและใช้ธรรมะในการเข้ามาแก้ปัญหาชีวิต" "ที่บ้านก็บอกไม่เป็นไร ไม่ต้องอยู่ก็ได้อาชีพนี้ เพราะนุ่นมีวิชาความรู้ มีหนทางที่จะเดินแต่แรก อันนี้เป็นสิ่งที่ผ่านเข้ามา ชื่อเสียง เกียรติยศ คำชื่นชม หรือคำนินทามันเป็นแค่เปลือก"

"ตอนนั้นจำได้ว่าพูดกับพ่อแม่แล้วร้องไห้ไปด้วยว่านุ่นไม่ได้อยากเป็นนางเอก ไม่ได้อยากเป็นดาราให้คนมาถ่ายรูป แค่อยากเล่นเป็นตัวละครตัวนั้นๆ ไม่เห็นว่าเขาต้องด่านุ่นเลย นุ่นก็ดำมาตั้งแต่เกิด แต่สุดท้ายก็อยู่ยาวจนถึงวันนี้ 8 ปีแล้วค่ะ"



เรียกว่าต้องมนต์มายาเข้าให้แล้ว
ชื่อเล่น : นุ่น
ชื่อ/นามสกุล : ศิรพันธ์ วัฒนจินดา
วัน/เดือน/ปีเกิด : 22 พ.ค.2525
บิดา/มารดา : พล.ท.เลิศพันธ์-อ.ศิริลักษณ์ วัฒนจินดา
พี่น้อง : มีน้องชาย 1 คน
การศึกษา : เรียนอนุบาลที่อนุบาลลำปาง, ประถม-มัธยมที่ร.ร.บุญวาทย์วิทยาลัย ลำปาง, จบปริญญาตรีมหาวิทยาลัยเชียงใหม่
เซ็กซี่เล็กๆ กับ "แอปเปิ้ล สีสะเหงียน สีหาราช" สาวลาวบุกบันเทิงไทย

หลังจากเปิดตัวคบหาดูใจกับหนุ่มฟลุ๊ค แห่งวงซีควินท์ ก็ทำให้ชื่อของไฮโซลาว อย่างสาวแอปเปิ้ล สีสะเหงียน สีหาราช เป็นที่จับตามอง ล่าสุดกระโดดมาเล่นภาพยนตร์แห่งค่าย ไฟว์สตาร์ เรื่อง 407 ประกบนางเอกมือหนึ่งอย่าง มาช่า วัฒนพานิช ก็ทำให้สาวแอปเปิ้ล เข้ามาในวงการบันเทิงไทยอย่างเต็มตัว ไม่เพียงแค่ฝีไม้ลายมือ แต่ความน่ารักและความจริงใจตามแบบฉบับสาวลาวทำให้สาวแอปเปิ้ลดูโดดเด่นเป็น อย่างมาก เสน่ห์ของสาวแอปเปิ้ลทำให้นิตยสาร "MiX" ต้องรีบคว้าตัวมาขึ้นปก โชว์ความเซ็กซี่เล็กๆ ปนน่ารัก ซุกซน ซึ่งงานนี้หนุ่มๆดูแล้วไม่ผิดหวังแน่นอน แถมท้ายด้วยการอัพเดททั้งชีวิตรักและการตัดสินใจมาปักหลักรับงานในวงการ บันเทิงไทย โดยเฉพาะกับการเปิดตัวเป็นแฟนหนุ่มฟลุ๊คแห่งวงซีควินท์และการแก้ข่าวลือที่ ว่า สาวแอปเปิ้ลนั้นหอบผ้าหอบผ่อนตามหนุ่มฟลุ๊คมาอยู่เมืองไทย

"ตอนแรกยอมรับว่าลังเลนะค่ะ เพราะเห็นคนที่มาขึ้นปกแต่ละคนเซ็กซี่ทั้งนั้นเลย แต่พอได้มาเจอทีมงานเลยหายเกร็งค่ะ เพราะเราก็แค่เป็นตัวเรา เซ็กซี่ในสไตล์แอปเปิ้ล ( ยิ้ม ) แต่ก็กังวลนิดหน่อยเพราะเราเป็นคนลาว ก็แอบเกรงใจที่บ้านนิดหน่อยค่ะ เพราะที่นั่นวัฒนธรรมก็ยังไม่เหมือนที่นี่ซะทีเดียว แต่คิดว่ามันเป็นงาน แค่ทำให้ดีที่สุด พอได้เจอกับพี่จอร์จ ก็หายเกร็งค่ะ เพราะเขาจะช่วยดูภาพให้ด้วย พี่ฟลุ๊คก็ช่วยดูด้วย แต่จะเป็นสไตล์แอบเชียร์ให้เปิดมากหน่อย กลัวแฟนไม่เซ็กซี่ ( ยิ้ม ) แต่พอเห็นภาพก็ชอบนะค่ะ มันดูเป็นแบบเด็กๆ แก่นๆ ซนๆ แต่มีความเซ็กซี่ในแบบฉบับของเด็กผู้หญิงด้วย

"ส่วนงานในวงการบันเทิงตอนนี้ก็มีงานพิธีกรค่ะ แล้วก็หนังที่เพิ่งจบไป กระแสก็ดีนะค่ะ คนที่ไปดูก็บอกว่าน่ากลัว ก็ชอบกัน แล้วก็เรียนหนังสือค่ะ ใกล้จบแล้วที่เอแบค ส่วนความรักก็เรื่อยๆ ค่ะ เปิ้ล คบพี่ฟลุ๊คมาก็ 5 ปีแล้วค่ะ เจอกันที่เมืองไทย แต่ก่อนหน้านั้นก็คุยกันทางอินเตอร์เนตมาเรื่อยๆ แล้วก็เริ่มศึกษาดูใจ ชอบที่พี่ฟลุ๊คเป็นคนสม่ำเสมอ รู้จักกันตั้งแต่ตอนที่พี่ฟลุ๊คยังไม่เป็นนักร้อง จนตอนนี้เขามีชื่อเสียงแล้วแต่ก็ยังเหมือนเดิม ประทับใจเพราะเขาดูแลเรา เพราะเปิ้ลก็มาอยู่ที่เมืองไทยคนเดียว อยู่คอนโด เขาก็คอยมาดูแล

"อย่างช่วงแรก ภาษาไทยเปิ้ลอาจจะยังไม่แข็งแรง พี่ฟลุ๊คเขาก็ช่วย เรื่องการเรียนด้วย เลือกมหาลัย เลือกคณะ ยิ่งพอเข้ามาอยู่ในวงการเขาก็คอยดูแลเรื่องงานให้ คอยปรึกษาเป็นห่วงอยู่ตลอด จนตอนนี้แม่เปิ้ลเขาไม่โทรถามเปิ้ลแล้ว แต่จะถามพี่ฟลุ๊คว่าเปิ้ลเป็นยังไงบ้าง ยังใช้เงินเก่งอยู่หรือเปล่า ( ยิ้ม ) ส่วนข่าวที่บอกเปิ้ล หอบผ้าหอบผ่อนมาอยู่กับพี่ฟลุ๊ค ก็ไม่จริงเลย เปิ้ลก็อยู่คอนโดของเปิ้ลยังไม่ได้ย้ายไปอยู่บ้านใครค่ะ ขนาดเจอก็ยังไม่ค่อยได้เจอกันเลยค่ะ ต่างคนก็ต่างยุ่ง อย่างพี่ฟลุ๊คตอนนี้เขาก็มีละครอีกเรื่อง เตรียมออกอัลบั้มใหม่ด้วย ส่วนเปิ้ลก็กำลังสอบเตรียมตัวจะจบ แต่ก็ยังยืนยันว่ารักก็ยังราบรื่นดีค่ะ เป็นกำลังใจให้กันตลอดค่ะ" แอปเปิ้ล กล่าว

“จ๋า ณัฐฐาวีรนุช” กับความเชื่อที่ว่า 'ถ้าเราดีพอ คนดีๆก็จะอยู่กับเรา'

“จ๋า - ณัฐฐาวีรนุช ทองมี” นักแสดงสาวคนนี้ ในช่วงหนึ่งปีที่ผ่านมา เธอเก็บตัวเงียบหายจากวงการไป แต่ล่าสุดเธอกลับมาแล้วพร้อมกับภาพยนตร์เรื่อง “ไอมิสยู รักฉัน อย่าคิดถึงฉัน” แต่ก่อนหน้านี้ถ้าจะพูดถึงเรื่องข่าวคราวเรียกว่า เธอคนนี้ตกเป็นข่าวแทบจะทุกวัน แต่วันนี้ “จ๋า ณัฐฐาวีรนุช ทองมี” เธอบอกกับเราว่า เธอเป็นจ๋า คนใหม่ที่มีจุดยืนของตัวเอง และมีเป้าหมายกับคำว่า “ดอกเตอร์”

“ช่วงที่เงียบไป ช่วงนั้นอาจจะเป็นเพราะไม่มีข่าว แต่ว่างานมีตลอด ก็ถ่ายหนังก่อนหน้านี้ก็มี ส.ค.ส. และ วาเลนไทน์ สวีทตี้ และก็มาเรื่อง ไอมิสยู แต่ว่าก่อนหน้าที่จะถ่ายหนังก็มีไปเมืองนอกประมาณเดือนหนึ่ง ตั้งใจจะไปหาข้อมูลทำวิทยานิพนธ์ และไปเที่ยวด้วย แต่พอดีมีหนังก็เลยต้องรีบกลับมา ความตั้งใจแรกจะอยู่สัก 3 เดือน พอมีหนังเข้ามาก็เลยกลับมาหาตังค์ก่อนแล้วพอกลับมาก็เจอน้ำท่วม แล้วจากนั้นก็มีงานเข้ามาต่อเนื่องเลย”

ได้ข่าวว่ากำลังทำดอกเตอร์อยู่ด้วย?

“ใช่คะ ตอนนี้คือจำเป็นต้องจบภายในปีครึ่ง (หัวเราะ) ยังไงก็ต้องให้จบค่ะ”


คือตั้งใจว่ายังไงก็จะเป็นดอกเตอร์ให้ได้?

“คือที่บ้านชอบเรียน แต่ไม่ได้ใจว่าฉันจะต้องเป็นแบบนั้น เป็นแบบนี้ คือมีโอกาสก็เรียนไป รู้สึกว่าการเรียนยังไงก็ช่วยให้ชีวิตดีอยู่แล้ว คือเก็บเป็นทุนไว้ อาจจะเอาไว้ใช้ในอนาคต คิดว่ายังไงมันดีกับเรา”


จ๋า เรียนสาขาอะไร?

“ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ คือจ๋าเรียนตรีก็คณะเดียวกัน เรียนปริญญาโท ก็ยุโรปศึกษา ก็พอมาดอกเตอร์ก็เข้าสายเดิม แล้วก็ตั้งใจว่าวิทยานิพนธ์เนี้ย ตั้งใจว่าการใช้หนังไทยโปรโมตประเทศ มันก็เกี่ยวกันตั้งการเมืองและการโปรโมตประเทศ ทางด้านบันเทิง ก็คือครบสูตรทางด้านที่เรียนมา”


แล้วพอเป็นดอกเตอร์แล้ว งานในวงการบันเทิงจะรับน้อยลงไหม จะหันไปทำงานที่เรียนมาหรือเปล่า?

“แก่แล้วด้วยค่ะ จ๋าว่าทุกอย่างมันก็เป็นไปการดำเนินชีวิตไปตามกาลเวลา วันนี้มันยังเหมาะกับจ๋าอยู่ก็ทำไปก่อนว่าสิ่งที่เรามีมันทำอะไรได้บ้าง เพราะจ๋าคงไม่รู้สึกว่าจะขายแค่เรื่องของบันเทิงไปตลอด”

อยู่วงการบันมากี่ปีแล้วถึงคิดแบบนี้?

“12 ปี แล้วค่ะ”


เลยคิดอยากจะทำเบื้องหลัง?

“จริง ๆ จ๋าคิดมาตลอด แล้วก็ลองทำเบื้องหลังอยู่บ้าง ก็ทำรายการอยู่ที่เป็นโปรดิวเซอร์เอง ชื่อ ไรเบอร์รี่ ทำให้กับไชนาวี ป้อนช่องตัวเอง แต่มีอำนาจทุกอย่างอยู่ในมือ จัดการบริหารเองหมดแล้ว แล้วเรื่องหนัง จ๋า มีโอกาสได้ร่วมงานกับพี่ปื๊ด (ธนิตย์ จิตนุกูล) ได้กำกับหนังสั้น ชื่อเรื่อง ทั้งหัวใจให้หมดเลย แต่ตอนนี้ยังไม่ออกฉาย เป็นโปรเจคท์ที่ทำถวายพ่อหลวง เรียกว่าชื่อเป็นผู้กำกับ แต่จริง ๆแล้วต้องเรียนว่าเป็นนักเรียนที่เรียนกำกับมากกว่า เพราะว่าพี่ปื๊ดเขาช่วยดูแล ทีมงานก็ยังช่วย ดูแลอยู่ คือจริงจ๋า ว่าดารานักแสดงทุกคน เขารักการสร้างงานอยู่แล้ว เพียงแต่ว่าโอกาสเบื้องหน้ามาก่อน แต่พอเราอยู่เบื้องหน้านาน ๆ การรักในสิ่งที่ตัวเองทำอยู่ ก็อยากจะมาเป็นคนที่เสนอไอเดียบ้าง พอมีโอกาสมาให้เรา เราก็อยากลอง”


วงการนี้ให้อะไรจ๋า บ้าง?

“ให้เยอะมาก ถ้าตอนเริ่มต้นให้ความรับผิดชอบ ตอนเด็ก ๆ เรายังไม่รู้ เราก็เริ่มต้นเรียนรู้จากการเริ่มทำ ได้เรียนรู้ในเรื่องของการวางตัว ให้ความอดทน และให้ความอดทนทางสภาพจิตใจคือทุกอย่าง เรียนรู้การเข้าใจคนหลายอย่างมาก”


ในเรื่องของข่าว ที่ผ่านมาข่าวจ๋าเยอะมาก จ๋าใช้วิธีไหนในการดูแลสภาพจิตใจของตัวเอง?

“มีคนชอบคิดว่าจ๋าไม่เป็นอะไรหรอก เพราะตอนออกสื่อจ๋าดูไม่เป็นอะไรในตอนที่ออกมาพูด แต่จริง ๆ เราเครียดมาแล้ว มันดาวน์มากจนเบื่อ ไม่อยากเจอใครเลยก็เป็น สิ่งที่ทำได้ก็คือพยายามอยู่กับตัวเอง ทำความเข้าใจแล้วก็ปล่อยวาง และยืนยันมั่นคงกับสิ่งที่ตัวเองเป็น จ๋ายึดคำกล่าวไว้ว่า ไม่มีใครหรอกที่ไม่เคยถูกพูดถึง แต่ของเราอาจจะถูกพูดถึงในวงกว้าง เพราะเราเป็นคนที่ทำงานข้างหน้าสื่อ ก็ปกติค่ะ แต่ถ้าวันใดที่เราทำอะไรแล้วไม่มีใครพูดถึง เราอาจจะกลับมาคิดอีกด้านหนึ่งเหมือนกัน”


ตรงนั้นมันสอนอะไรเราบ้าง?

“สอนมากค่ะ สอนเราว่า เราจะไม่ตัดสินใครจากการได้ยิน คือเรื่องนี้เป็นเรื่องธรรมดามาก จ๋าว่าทุกวงการแหละต้องมีการนินทา แม้แต่ในวงการนักเรียนก็ยังมี เพียงแต่ว่าคนที่ถูกพูดอาจจะไม่รู้จักกันเยอะ เพียงแต่ว่าเวลาที่เราได้ยินใครพูดถึงใครมันก็อาจจะเป็นมุมมองด้านเดียวก็ได้ เราก็เลยไม่เคยตัดสินใครจากการที่คนบอก อย่างเรื่องข่าว ตรงนั้นก็เป็นหน้าที่ของนักข่าว ซึ่งคนที่ถูกเสนอข่าวเขาก็มีสิทธิที่จะออกมาแก้ ออกมาบอกจริง ๆ แล้วมันเกิดอะไรขึ้น จริง ๆ มันก็เป็นได้ทั้งหมด มันก็อยู่ที่หน้าที่ใครหน้าที่มัน”


ที่เงียบ ๆ ไป จ๋า พยายามเอาตัวเองออกห่างวงการ หรือ คิดอะไรอยู่ในช่วงนั้น?

“หลายอย่าง และคิดถึงอนาคตตัวเองด้วย แล้วข่าวช่วงนั้นถูกโยงถึงหลาย ๆ คน จ๋าก็รำคาญ ก็บางทีก็ไม่ได้อยากเจอคนเยอะ อันนี้ก็พูดตามตรง บางทีก็เลยคิดว่าเราลองไปทำอย่างอื่นดูไหม สมองมันปลอดโปร่งด้วย เป็นประสบการณ์ใหม่ด้วย แล้วก็อยากจะเรียนให้จบ ก็เลยตั้งเป้าของเราไปเลย”


แต่พอมีงานเข้ามา กลับมาทำงานมันก็ต้องมีข่าวอีกนะ?

“คืออันนั้นมันก็มีเหตุและผลของมัน สมมุตินะคะว่าถ้ามีอีเวนต์มา แล้วเอาตัวเองไปออกงานอีเวนต์เพื่อได้สตังค์ เอาตัวเองไปขายในข่าว จ๋าก็จะรู้สึกว่าไม่เป็นไรไว้ก่อนแล้วกัน แต่ถ้าหนังคือสิ่งที่จ๋าชอบ แต่ถ้ามันจะต้องตามมาด้วยข่าว ก็ไม่เป็นไรเพราะเรารักงานหนัง คือมันอยู่ที่จ๋าเลือกจะทำหรือเปล่า ณ อารมณ์ช่วงนั้น ๆ”

กลับมาเรื่องหนังบ้าง เป็นการกลับมาเจอกับพี่ติ๊ก (เจษฎาภรณ์ ผลดี)?

“เชื่อไหมว่า วันนั้นที่นักข่าวเข้ากองครั้งแรกที่กองถ่ายหนังเรื่องแรกที่เล่นกับพี่ติ๊ก เรื่อง รักแท้ปาฏิหาริย์ วันนั้นจ๋าเป็นเด็กใหม่ แล้วพี่ติ๊กเป็นพระเอก เป็นซุปตาร์ ทุกคนถูกเสน่ห์พี่ติ๊กดึงเข้าข้างสองข้างหมด จ๋าจำภาพได้ว่าเป็นโต๊ะม้าหิน พี่ติ๊กนั่งหัวโต๊ะ แล้วมีนักข่าวล้อม จ๋าก็นั่งฟังจ๋าก็สนุกดี ก็คิด อืม...ดาราเขาเป็นอย่างนี้นี่เอง แล้ววันนี้พอได้กลับมาทำงานกันอีก ก็เหมือนกับเราคุ้นเคยกันมาแล้ว มันก็ง่าย อีกอย่างพี่เขาก็เป็นคนที่มีฝีมือมาก มันเลยง่ายคือ เคมีมันตรงกันในเรื่องของการทำงานมากค่ะ”


แล้ววันนี้คิดว่าตัวเองมีพลังของดาราแล้วยัง?

“จ๋า ก็ยังเป็นจ๋าค่ะ คือจ๋าพยายามไม่ยึดติด แม่สอนตั้งแต่เด็กได้ดีก็ดีใจแต่อย่าเหลิง อะไรก็คืออย่าเหลิง จ๋าถูกกดตั้งแต่เด็ก ถึงจะเรียนเก่งเกรดดีก็ไม่เคยได้ของขวัญอะไรเลย แม่สอนไว้ถ้าได้ดีก็ดีกับตัว ถูกสอนมาแบบนี้แล้วพอได้อะไรดี ๆมาก็ฉุกคิดขึ้นมาว่าอะไรที่เป็นสิ่งดีก็ดีที่สุด ไม่ว่าจะดีขนาดไหนก็ดีแค่นั้น”


พูดถึงหนังหน่อย เห็นว่าเรื่องนี้ต้องเล่นเป็นวิญญาณ?

“บทบาทในเรื่องนี้ แต่ละคนพลิกหมด สำหรับจ๋า ที่ผ่านมาคนจะจำจ๋า แต่คอมเมดี้ พอมาเรื่องนี้ก็ดราม่า ถามว่าเล่นเป็นวิญญาณยากไหม เล่นเป็น ผีไม่ยากนะคะ แต่ในเรื่องนี้ ผีไม่ใช่ผี ก็คือออกมาในรูปแบบของคน แสดงความรู้สึกเหมือนคน อาจจะพูดได้น้อย อาจจะแสดงอารมณ์ที่แบบออกท่าทางไม่ได้ เราก็ต้องแสดงออกแบบนิ่ง ๆ แต่อารมณ์ออกยาก”


เล่นหนังรักหลอน ๆ มาแล้ว วันนี้ขอถามเรื่องมุมมองความรัก จ๋า ในวันนี้เป็นยังไง?

“จ๋าโตแล้ว ไม่อยากเลือกแล้ว ส่วนสเปกเนี่ย ตอนเด็ก ๆเราอาจจะเยอะนะ คือแบบยิบย่อย คนนั้นก็น่ารักดี แต่เตี้ยไปหน่อย คนนี้ดำไม่ชอบ แต่พอเราโตขึ้น สเปกเราก็จะมาแบบรวม ๆมากกว่า เช่น คนนี้อยู่ด้วยแล้วสบายใจไหม จริงใจกับเราหรือเปล่า มีอนาคตร่วมกันได้ไหม”


แล้วที่เขาบอกว่าอายุมากขึ้น จะเลือกน้อยลง จ๋า ว่าจริงไหม?

“ไม่จริงนะ ยิ่งอายุมากเรายิ่งเลือกมากกว่าเดิม แต่ไม่ได้เลือกเป็นรายละเอียดเยอะ ๆ เท่าเดิม”


กลัวขึ้นคานไหม?

“ ไม่กลัวขึ้นคาน แต่ไม่อยาก ก็คือเหมือนปล่อย ถ้าไม่มีจริง ๆ ถ้ามันจะต้องอยู่คนเดียว เราก็ต้องอยู่คนเดียว แต่ถ้าถามว่าอยากอยู่คนเดียวไหม ก็ไม่อยากอยู่คนเดียว”


เชื่อเรื่องพรหมลิขิตไหมคะ?

“ไม่เคยเจอง่ะ พูดตรง ๆ เชื่อไหมตัวเองยังไม่รู้ แต่เห็นคนอื่นแบบนะที่เขามีความรัก เออ ก็ดูแล้วเขาเกิดมาเป็นคู่กันจริง ๆ อันนี้สำหรับคนอื่นนะ แต่ของตัวเองเนี่ยจ๋ายังไม่รู้นะ เพราะยังไม่เคยเจอ ไม่รู้ว่ามันมีจริงที่จะเกิดกับเราไหม”


แล้วศรัทธาในรักแท้ไหม?

“จ๋าเชื่อนะว่ารักแท้มีจริง แต่ไม่รู้ว่าทำบุญมาพอหรือเปล่า แค่นั้นแหละ (หัวเราะ )”


ตัวจ๋าเองเชื่อไหมว่าเวลา จ๋าลัคกี้อินเกมแล้วมักจะไม่ลัคกี้อินเลิฟนะ?

“ก็สังเกตตัวเองเหมือนกันนะ เพราะว่าตัวจ๋าเอง เวลาที่จ๋าให้จ๋าก็ให้หมด แต่ว่าตอนนี้เราโตขึ้น การที่เราจะให้ใครทั้งหมดเนี่ยมันก็ต้องดูดี ๆ ว่าถ้าเอาสิ่งที่ดี ๆ ของเราทั้งหมดไป สิ่งที่เราได้ตอบกลับมามันควรหรือว่าเหมาะสมกันไหม ตอนเด็ก ๆอาจจะคิดน้อยหน่อยเพราะว่าความรับผิดชอบหน้าที่อาจจะยังไม่หนักมาก แต่ตอนนี้เราโตแล้วก็คิดมากขึ้น แต่จริง ๆ คนเราก็เปลี่ยนไม่ได้ทั้งหมดหรอก อย่างเช่นบอกว่าเราโตแล้วเราไม่แคร์หรอก แต่จริง ๆ พอเจอคนที่เราชอบเราก็แคร์อยู่ดี แต่เราอาจจะดึงตัวเองออกมารักษาระยะได้”


เวลามีความรัก จ๋า ทุ่มเทไหม?

“เกินค่ะ เกินความจำเป็น เกินความจำเป็นในที่นี้หมายความว่า เมื่อก่อนเราอาจจะเลือกคบกับคนที่ เรามีใจให้กัน แต่เราอาจจะมองว่าชีวิตเราดูแล้วไม่น่าจะไปด้วยกันได้เท่าไร แต่เรามีใจให้กันในตอนนั้นก็เลยไม่สนใจก็ยังทุ่มเทให้อยู่ แต่ปัจจุบันนี้ถ้ามองแล้วว่า ทัศนคติ หรือแอติจูด ที่ดูแล้วไปด้วยกันไม่ค่อยได้เท่าไร มันก็อาจจะเดินไปด้วยกันยาก ก็ต้องเปลี่ยนมุมมองหาคนที่อยู่ด้วยกันได้ แล้วค่อยไปเต็มร้อย แต่เมื่อก่อนเราจะเต็มร้อยไปก่อน ทั้ง ๆ ที่รู้ว่าไปกันไม่รอด เพราะเราเด็ก ให้ใจก่อน เต็มร้อยก่อน”


เคยกลับมามองตัวเองไหมว่าทำไมเราถึงไม่ประสบความสำเร็จในเรื่องความรัก?

“มีทุกช่วงความผิดพลาดเกิดแตกต่างกันไป เคยมีช่วงที่เราไม่ดีพอ เราอาจจะเจอคนดี แต่ช่วงนั้นเรายังรู้สึกว่าเรายังสนุกกับการใช้ชีวิต เราเลยไม่ให้ความสำคัญกับเขาเท่าที่ควร ก็เคยเจอ แล้วมาพลิกแบบว่าเราให้ความสำคัญกับเขาเกินไป จนลืมเรื่องทุกอย่างของตัวเอง สุดท้ายเดินไปไหนไม่ได้ก็เคยเจอ มันแล้วแต่ช่วงแล้วแต่กับคนก็ไม่เหมือนกัน ตอนนี้จ๋า เอาตัวเองมาอยู่ตรงกลางแล้วพยายามทำตัวเองให้ดี จ๋าเชื่อว่าวันนี้ถ้าเราทำดีพอ คนดี ๆ ก็น่าจะอยู่กับเรา” และเราก็เชื่อเช่นกันว่า สักวันนักแสดงสาวสวย ว่าที่ดอกเตอร์คนนี้ เธอจะเจอคนที่พอดีและดีพอกับเธอแน่นอนในอนาคต