Inside Dara
ช่อง ONE สู้โว้ย! ทีวีดิจิตอลเป็นหลัก โซเชียลเป็นรอง “ไอดอล-ละครน้ำเน่า” เข้ากรุ ไม่พึ่งซุป’ตาร์ตัวแม่อีกต่อไป

มิติใหม่ “เอ็กแซ็กท์” ไม่เน้นพระนางระดับซูป'ตาร์อีกต่อไป มั่นใจบทไม่เหมาะ เล่นยังไงก็ไม่ดัง ไอดอลกำลังจะตาย ต่อไปจะเป็นเรื่องของคนที่มีความสามารถ ย้ำ คอนเทนต์ - เนื้อหาสำคัญที่สุด ละครน้ำเน่า - แม่ผัวลูกสะใภ้ตายแน่ เพราะคนดูฉลาดเลือก ฉลาดเสพ บอกสู้ศึกทีวีดิจตอลมากกว่าโซเชียลเพราะเม็ดเงินสูงกว่า 10 เท่า เชื่อคนทำคอนเทนต์โฟกัสโซเชียลกำลังโฟกัสผิดจุด

สู้ศึกทีวีดิจิตอลมาหลายปี สำหรับปี 2561 “ป้อน นิพนธ์ ผิวเณร” หัวเรือใหญ่ด้านละครของช่องวัน 31 ก็เตรียมกลยุทธ์เผด็จศึกช่องคู่แข่งโดยขนเอาดาราตัวแม่มาเสิร์ฟกันอย่างคับคั่งจนแน่นช่อง ไม่ว่าจะเป็น พิ้งกี้ สาวิกา ไชยเดช, พลอย เฌอมาลย์ บุญยศักดิ์, แตงโม นิดา พัชรวีระพงษ์, ใบเฟิร์น พิมพ์ชนก ลือวิเศษไพบูลย์, แอน สิเรียม ภักดีดำรงฤทธิ์ พร้อมเสริมทัพกับละครแนวถนัดของตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นจุดจบของซีรีส์เรือนเบญจพิษ หรือสงครามนักปั้น รวมไปถึงโปรเจกต์ยักษ์สะเทือนวงการมายาไปอีก แถมงานนี้เจ้าตัวยังบอกอีกว่าวิธีการผลิตละครของทางช่องวันได้เปลี่ยนไป จะเน้นที่ตัวบท ตัวเนื้อหามากกว่าจะดึงซุป’ตาร์มาเรียกเรตติ้ง พร้อมเผยว่ากระแสโซเซียลไม่ได้มีผลต่อเรตติ้งมาก

“ตอนนี้เรตติ้งทั้งช่องเป็นที่น่าพอใจ เพราะเราจะเปลี่ยนทิศทางการผลิตละคร เราจะทำให้หน้าละครให้ชัดเจน ไม่ได้มีเฉพาะแค่พระเอกหรือนางเอกเท่านั้น ถึงแม้จะถ่าย ล้ม กลิ้ง นิ่งซูม ถ่ายสวยแค่ไหนก็ตามเถอะ แต่จะให้แตกต่างกว่าเดิมเพราะท้ายที่สุดแล้วคอนเทนต์จะเหมือนกันทั่วโลก และทีวีในทั่วโลกคุณจะจำนักแสดงไม่ได้ แต่คุณจะจำเนื้อเรื่องของมันได้ เนื้อเรื่องจะสำคัญพอๆ กับดารา คือ ไม่ได้หมายความว่าเราจะไม่สร้างซูเปอร์สตาร์แล้ว เราก็ต้องสร้างเหมือนเดิม แต่เราต้องสร้างว่าเขามาจากเนื้อหาอะไร เราคิดเรื่องนี้มาประมาณ 3 - 4 ปีแล้ว บวกกับที่ร่ำลือว่าที่นี่ชอบแก้บท เพราะเราเชื่อว่าการแก้บทก็เพื่อจะทำให้ละครมันสนุก แต่บางคนก็บอกไม่ต้องแก้เยอะ เพราะยังไงดาราดังๆ ก็เอาอยู่ มันก็ใช่ ซึ่งใช้ได้ในระยะหนึ่ง แต่พอมาตอนนี้มันหมดยุคแบบนั้นแล้ว อย่างซีรีส์ของอเมริกามีใครจำได้มั้ยว่าใครแสดงนำ แต่เดี๋ยวนี้โลกมันเปลี่ยนไป สามารถเข้าถึงดาราง่ายขึ้นเพราะมันมีโซเซียล เดินพารากอนก็เจอแล้ว และการที่เราทำบทขึ้นมา เคี่ยวกับบทมากขึ้นก็เพื่อจะทำให้คอนเทนต์นี้มันยั่งยืนกว่า เพราะคอนเทนต์ถ้ามันดี มันก็จะไม่ตาย แล้วคนที่เขาดูคอนเทนต์ที่ดีแล้ว เขาก็จะดูอีก เพราะว่ามันดี CONTENT IS KING แม้แพลตฟอร์มทีวีในปัจจุบันมันจะตาย แต่ถึงยังไงคอนเทนต์ที่ดีก็ยังจะอยู่ต่อไป”

“และตอนนี้กระแสมีเดียของทั้งโลกมันเปลี่ยนไป ไลฟ์สไตล์ชีวิตชองคนเรามันเปลี่ยน และถ้าเราทำคอนเทนต์แบบเดิมๆ ตายแน่นอน ซึ่งทีวีน่ะไม่ตาย แต่คนทำอาจตายได้ และอย่างปี 2561 ละครแบบแม่ผัวลูกสะใภ้จะตาย เพราะว่าคนเห็นคนอื่นตีกันในคลิปจนเบื่อแล้ว และมันรุนแรง สมจริงมากกว่าในละคร จนทำให้ในละครดูประดิษฐ์เกินไป คนดูจะเบื่อมาก ซึ่งถ้าจะทำทีวีต้องตีโจทย์ว่าเราทำคอนเทนต์ให้คนอายุ 35 - 50 ปีดู เพราะเขาเหล่านี้จะเป็นคนเปิดทีวีมากกว่าวัยรุ่นหรือคนวัย 70 ปีขึ้น แต่ถ้าถามว่าทำไมไม่ทำในโซเซียลไปเลยล่ะ ก็บอกเลยว่าเงินมันยังน้อยมากเพราะถ้าเทียบกับการทำออนแอร์ผ่านทีวี และในโซเซียลมันยังไม่เสถียร มันสามารถปั่นยอดวิวได้ แต่เราก็ไม่ถึงกับทิ้งโซเซียลเพราะเราใช้โซเซียลเป็นการตลาด”

เชื่อการที่ทุกคนโฟกัสที่โซเชียล เป็นการโฟกัสที่ผิดจุด การทำทีวีได้เงินหลายเท่ากว่า

“ผมว่าคนที่ทำคอนเทนต์กำลังโฟกัสผิด แต่อันนั้นเราไม่ว่ากัน เพราะถ้าเขาพอใจกับยอดวิว ทำมาหากินค้าขายได้ ก็เรื่องของเขา แต่สำหรับเรามันไม่พอ กับการทำทีวีเพราะมันได้เงินหลายเท่าให้มันคุ้มค่ากับราคาที่เราประมูลมา ซึ่งต้องใช้โซเซียลให้เป็นอุปกรณ์การตลาดของทีวี เพราะทีวียังเป็นส่วนหนึ่งของสังคมไทย และเวลาไปขายโฆษณา เขาก็เอาเรตติ้งที่นับจากจอทีวีนี่แหละไปขาย ถึงได้บอกว่าเรตติ้งมันยังศักดิ์สิทธิ์อยู่”

“ในส่วนของเรตติ้งจากโซเซียล ถ้าถามว่าแชร์ไปเยอะมั้ยสำหรับเม็ดเงิน ยังถือว่าน้อยอยู่นะ เพราะค่าโฆษณาของโซเซียลแตกต่างจากค่าโฆษณาของทีวีห่างกันเกือบ 10 เท่า เพราะมีบางคนที่มาทำซีรีส์กับเรา แล้วเราก็ถามว่าทำไมไม่ทำในโซเซียลต่อล่ะ เขาก็บอกว่าเงินมันน้อย ทำไมมันน้อยล่ะ ก็เพราะว่ามันขายได้เท่านี้จริงๆ คือมันยังมีข้อจำกัดของมันอยู่ไง เพราะในอเมริกาเขาไม่ได้ให้สำคัญกับโซเซียลมาก เพราะเขาก็คิดว่ามันก็เป็นอีกหนึ่งวิธีการที่จะนำมาเป็นมาร์เก็ตติ้ง และทุกวันนี้ถามว่าทำไมรายได้ทีวีมันลดลง ไม่ใช่เพราะมันซบเซา แต่จำนวนช่องมันเพิ่มมากขึ้น เลยทำให้เงินมันลดลง แต่ถ้าคอนเทนท์ไม่แข็งแรงก็อาจจะต้องปิดตัวลงไปเรื่อยๆ”

รับคนดูฉลาดเลือกฉลาดเสพ ยุคนี้ดาราดังไม่ดัง ไม่ใช่ตัวกำหนดละครจะเปรี้ยงหรือแป้กอีกต่อไป

“ณ วันนี้จริตของคนดูคือคนดูฉลาดขึ้น เลือกเสพในสิ่งที่ตนเองต้องการมาขึ้นเพราะมันมีหลายทางเลือกให้เลือกชม เป็นยุคที่คนตัดสินใจด้วยตนเอง ต้องทำคอนเทนต์ให้คนดูเป็นคนตัดสินใจเป็นคนมาดูเอง และการทำละครคือตอนหนึ่งสำคัญที่สุด เพราะถ้าดีคนก็จะรอดูตอนที่สองต่อ และถ้าไม่ดีก็ต้องตัดตอนที่สองใหม่เพื่อเรตติ้ง ซึ่งส่วนของการแข่งขันในทีวีดิจิตอลในวันนี้ อย่างวันนี้ดาราไทยอิสระกันมากขึ้น ซึ่งก็เหมือนอเมริกามากขึ้นเพราะที่นั่นมีเอเยนซีเป็นคนจัดหางานให้ ทุกวันนี้อุตสาหกรรมบันเทิงมันใหญ่มาก ยังไงก็ต้องสร้างดาราใหม่ๆ มากขึ้น และในยุคนี้ไม่ใช่ดาราเป็นตัวกำหนดว่าละครจะดังหรือแป้ก เพราะนอกจากตัวดาราแล้ว มันก็ต้องดูว่าเขาอยู่ในเรื่องไหน รับบทเป็นอะไร ถ้าไม่ใช่ก็คือไม่ต้องทำ เราต้องให้ความสำคัญกับแคสติ้ง กับบท กับเนื้อเรื่อง เพราะบางเรื่องดาราไม่จำเป็นต้องดังก็ได้ อย่างเรือนเบญจพิษดาราไม่ใช่ดังมาก แต่ทุกคนคือนักแสดงที่มีฝีมือ”

เผยก่อนหน้านี้เตรียมคอนเทนต์ที่เหมาะสมเพื่อ ปู ไปรยา, ใหม่ ดาวิกา แต่ตอนนี้ไม่ใช่ดาราทุกคนจะเล่นอะไรก็ได้อีกต่อไปแล้ว

“ก่อนหน้านี้ ที่เราอยากได้ปู ใหม่มาร่วมงาน คือ เรามีคอนเทนต์ที่เหมาะสมเตรียมเอาไว้รองรับเขาแล้ว เราต้องมีแพลนวางไว้ และทุกคนมีสิทธิ์เลือก เราเลือกเขา เขาเลือกเรา และในทุกวันนี้มันไม่ใช่แล้วที่ว่าดาราคนไหนเล่นอะไรก็ได้ ซึ่งพิสูจน์มาแล้วกับหลายๆ เรื่องในอุตสาหกรรมบันเทิงบ้านเรา ซึ่งมันหมดยุคนั้นแล้ว”

“ทุกวันนี้คนดูฉลาดมากขึ้นจึงทำให้พระเอกนางเอกถูกลดความสำคัญลงไป แต่ยังไงก็ต้องมีเอาไว้ในละครเรื่องหนึ่ง (แต่นักแสดงส่วนใหญ่ยังยึดติดกับความเป็นพระเอกนางเอกอยู่?) สักวันหนึ่งเขาจะเข้าใจเองว่าบางบทก็ไมได้เหมาะสมกับเขา เล่นไปยังไงก็ไม่ดัง เขาจะรู้เอง แต่เรื่องเหล่านี้ต้องใช้เวลาเพราะทุกคนมีวิธีคิดของแต่ละคน อย่าให้คนดูต้องบ่นว่าเปิดทีวีแล้วเปลืองไฟ เรื่องบทในทุกวันนี้มันต้องไปกับนักแสดง ถ้ามันไม่ใช่ก็อย่าทำ ยุคนี้เป็นยุคของนักแสดงจริงๆ ไอดอลกำลังจะตายยุคต่อไปเป็นยุคของคนที่มีความสามารถเท่านั้น เด็กใหม่ต้องพร้อมจริงๆ เพราะเดี๋ยวนี้เวลาจะเซ็นเด็กแต่ละคนเราจะเลือกจากทัศนคติ คุณจะจริงจังกับอาชีพนี้มากแค่ไหน คุณนิสัยดีมั้ย เพราะออร่ามันจะออกมาเอง ส่วนเรื่องศัลยกรรมมันเป็นเรื่องธรรมชาติ เราก็ไม่ว่ากัน”

อย่างไรก็ตาม โปรเจกต์ปี 2561 ที่ช่องวันเตรียมนำใส่พานเสิร์ฟให้ที่หน้าจอ ไม่ว่าจะเป็นการนำนางเอกเลืองชื่อทั้ง “พิ้งกี้ สาวิกา” มาประกบคู่กับ “ใบเฟิร์น พิมพ์ชนก” ในละครเรื่อง “ภูตพิศวาส” หรือจะเป็น “แตงโม นิดา” กับละครฟอร์มยักษ์ “สายรักสายสวาท” ที่จะมารับบทนางฟ้อนรำสาวเหนือที่หลงรักเจ้า จนตัวเองตั้งท้องและท้ายที่สุดก็มารู้ว่าเจ้านั้นมีเมียอยู่แล้ว ส่วน “พลอย เฌอมาลย์” จะมาเป็นดีว่าในโรงละครกันแนวละครผีใน “บางกอกนิรมิต” ถัดมาก็จะเป็นฟาดฟันกันของนักแสดงเจ้าบทบาท “แหม่ม คัทลียา” กับ “แอน สิเรียม” ที่ย้อนกันไปในยุค 2499 มีทั้งความแซ่บ จี๊ดจ๊าด และกลิ่นอายความเป็นละครน้ำเน่าในยุคนั้นจะกลับใน “วิมานดวงดาว” ส่วนละครเรตติ้งดีจนต้องทำภาคต่ออย่าง “พรหมไม่ได้ลิขิต” ที่คู่จิ้นดังไกลถึงแดนมังกร “บี้ สุกฤษฏิ์” มาประกบกับ “เอสเธอร์” นางพยาบาลสาวในชุดสีขาว พร้อมอีกหนึ่งโปรเจกต์ยักษ์ชมตลอดทั้งปี เปลี่ยนกันทุกเดือนกับโปรเจกต์ “เมืองมายา LIVE” เป็นละครที่ไม่ใครรู้ตอนจบ พร้อมให้คนดูร่วมโหวตว่าอยากให้ละครเรื่องนี้จบแบบไหนในตอนสุดท้ายของละครในแต่ละตอน ซึ่งจะมีด้วยกัน 12 เรื่อง 12 ผู้กำกับอาทิ บัลลังก์มายา (แหม่ม คัทลียา, นุส นุสบา, ตุ้ย ธีรภัทร์, ออร์แกน ราศี, กรรณ สวัสดิวัฒน์ ณ อยุธยา) มายาเร้นรัก (บี น้ำทิพย์, สน ยุกต์) ใครสักคน (นนกุล) เกมส์กลคนโกง (ตั้ว เสฎฐวุฒิ, ฝน ศนันธฉัตร) เลิฟออนลาย (LIE) (ออกแบบ ชุติมณฑน์) ดวงตาคู่นั้น และที่กำลังจะออนแอร์กระชากเรตติ้งเร็วๆ นี้คือ “เรือนเบญจพิษ”