Inside Dara
“มด” ไม่สนอดีต - อนาคต เชื่อทำปัจจุบันดี วันข้างก็ดี

หลังจากที่ฟังสาว โฟร์-ศกลรัตน์ วรอุไร เปิดใจไปแล้ว อาทิตย์นี้ขอฉกตัวสาว มด-ณปภัช วัฒนากมลวุฒิ ดูโอคู่หู “โฟร์-มด” มาเผยถึงเรื่องราวส่วนตัวบ้าง โดยเฉพาะกรณีที่มีข่าวว่าโฟร์-มดทะเลาะกันจนถึงขั้นเกือบวงแตก นอกจากนี้สาวมดยังจะมาเล่าถึงชีวิตที่เปลี่ยนไปหลังจากได้เข้าไปศึกษาธรรมะ รวมทั้งลักษณะของชายหนุ่มที่จะพิชิตใจเธอได้ด้วย

ถามถึงปัญหาที่เรามีกับโฟร์หน่อย เรื่องราวมันเป็นยังไงมายังไง?

“จริง ๆ ทางค่ายกามิกาเซ่ก็เรียกทั้งสองคนไปคุยถึงต้นเหตุแล้ว เหมือนเราก็ได้รู้แล้วว่ามันคือความเข้าใจผิดของทั้งสองฝ่าย คือสาเหตุของปัญหาก็มีวันนึงไปทำงาน แล้ววันนั้นฝนก็ตก รถติด เขาก็นัดตอนเช้า เราก็ไป และงานแรกก็ต้องทำงานกับผู้ใหญ่หลายท่าน เราก็ต้องมีความตรงต่อเวลา แต่วันนั้นรถติดมาก เลยทำให้พี่โฟร์มาเลทมากประมาณ 3-4 ชั่วโมง เราก็อยู่กับผู้ใหญ่ ท่านก็คอยถามว่าโฟร์อยู่ไหนแล้ว เราก็กดดัน แต่ช่วงนั้นก็ยอมรับว่าเราอารมณ์ร้อน พี่โฟร์เองก็อารมณ์ร้อนด้วยเหมือนกัน ต่างฝ่ายต่างร้อนเลยมาปะทะกัน เลยเกิดเรื่องเป็นข่าวขึ้นมา ถามว่านานมั้ยกว่าจะได้เคลียร์กัน จริง ๆ ปัญหานี้มันมีก่อนจะมีข่าวมาสักพักนึง แต่มดมีความรู้สึกว่าถ้ามีปัญหาก็ยังไม่อยากเคลียร์ตอนนั้น เพราะเรายังอารมณ์ร้อนกันอยู่ ยิ่งเคลียร์ตอนนั้นปัญหาจะยิ่งบานปลายรึเปล่า เราก็ไม่รู้ ดังนั้นทางที่ดีที่สุดควรรอให้ทั้งสองฝ่ายอารมณ์เย็นลงก่อนจะเคลียร์ง่ายกว่า ซึ่งมันก็เป็นทางออกที่ดีที่สุด”

พอได้เคลียร์แล้วรู้สึกยังไง?

“ก็ดีค่ะ หนูเข้าใจว่าคนเราที่ทำงานด้วยกัน ก็อาจจะมีปัญหากันบ้าง แต่ท้ายที่สุดถ้าเราเคลียร์ได้ แน่นอนความเข้าใจมันมีมากขึ้นอยู่แล้ว มันก็ดีกว่าที่เราจะเอาความรู้สึกตรงนั้นมาเป็นทิฐิมันก็ไม่ใช่ แต่จากเหตุการณ์นี้ทำให้รู้ว่ามีแฟนคลับหลายคนที่รักโฟร์-มดมาก ต้องขอบคุณแฟนคลับและทุกคนที่อยู่รอบข้าง คอยเป็นกำลังใจให้ แฟนคลับหลายคนบอกว่าอย่าแยกกันเลยนะ อยากให้โฟร์-มดเป็นโฟร์-มด อยู่ด้วยกันมา 8 ปีแล้ว ทำให้รู้ว่ายังมีแฟนคลับรอผลงานของเราอยู่”

เราได้บทเรียนอะไรจากเหตุการณ์นี้?

“เรื่องของสติค่ะ ก็เข้าใจว่าบางทีคนเราก็ต้องมีอารมณ์โกรธ คงจะไม่มีหรอกที่จะไม่มีอารมณ์โกรธเลยในชีวิต เพียงแค่ว่าพอเราโกรธ ต้องพยายามควบคุมสติเท่านั้นเอง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไร มากน้อยแค่ไหน เพราะบางทีคนเราโกรธมาก ๆ ก็ทำให้ขาดสติได้เหมือนกัน”

ตอนที่มีปัญหา เราแอบใจหายมั้ยว่าอาจจะไม่มีดูโอโฟร์-มดอีกแล้ว?

“ตอนนั้นหนูอยู่กับตัวเองมากกว่า ไม่ได้คิดเรื่องอื่น เราพยายามสงบสติอารมณ์ตัวเอง ถามว่าเรามีคำสัญญาให้กันมั้ย หลังจากที่เคลียร์กันได้ คือเราโตแล้ว ไม่ต้องมีคำมั่นสัญญาอะไร ต่างฝ่ายก็ต่างรู้แหละ เวลาเราคุยกัน เคลียร์กันก็จบค่ะ”

เราเกิดจากการเป็นนักร้องวง “โฟร์-มด” วงนี้สำคัญกับเราแค่ไหน?

“คำว่า “โฟร์-มด” มันก็เหมือนเป็นจุดเริ่มต้นในการทำงานเลยดีกว่า เราก็อยู่ตรงนี้มานาน เลยทำให้เราคิดว่าเราอยู่ตรงนี้มาได้ก็เพราะคำว่าโฟร์-มด ส่วนที่หลายคนมองว่าโฟร์-มดโตเกินกว่าจะเป็นนักร้องคู่กันแล้ว มดว่าคนเราก็ต้องมีการพัฒนา จะเด็กตลอดเวลาก็ไม่ได้ คือแม้ว่าเราจะอายุมากขึ้นผลงานเราก็พัฒนาตามตัวแน่นอน เรายังคงความเป็นโฟร์-มด นั่นคือความสดใสน่ารัก แต่เราจะมานั่งเด็กงุ้งงิ้งก็ไม่ใช่ ถามว่าสำหรับมดคิดว่าจะ “โฟร์-มด” ไปถึงเมื่อไหร่ จริง ๆ มดไม่ได้เป็นคนที่ยึดติดกับอดีตหรืออนาคต มดเลือกอยู่กับปัจจุบันมากกว่า เราทำปัจจุบันให้ดีมากเท่าไหน อนาคตมันก็ดีมากเท่านั้นค่ะ ส่วนเรื่องงานเดี่ยว เราก็มีนะ พี่โฟร์และหนูก็มีละคร มีโปรเจคท์พิเศษ เราก็เหมือนต่างฝ่ายต่างมีหน้าที่ตัวเอง แต่ท้ายที่สุดเราก็ยังเป็น “โฟร์-มด” คือเรามีตรงนี้ให้เราทำ เราก็ทำให้ดีที่สุด อนาคตเราก็อาจจะมีหนทางของตัวเองก็ได้ ตอนนั้นก็เป็นตอนนั้นไป เราก็ไม่รู้ว่าข้างหน้าจะเป็นยังไง”

ณ วันนี้คิดว่าโฟร์-มดประสบความสำเร็จแล้วหรือยัง?

“เรื่องนี้มดว่าให้แฟนคลับตัดสินใจดีกว่า เพราะตัวเราเองก็มองว่าแค่ทำตรงนี้ให้ดีที่สุดเพื่อทุกคนที่รอคอยผลงานของเรา ส่วนมันจะเป็นจุดสูงสุดของโฟร์-มดมั้ย จริง ๆ ไม่ว่าจะมีผลงานอะไรออกมา เราก็ทำเต็มที่ในทุกผลงานไปเรื่อย ๆ ค่ะ หนูมองว่าคนเราต้องทำให้ดีที่สุดทุกอย่าง ไม่ใช่ว่านี่จุดพีคแล้ว มันก็ไม่ใช่ เพราะเราอยู่ในวงการบันเทิง ยิ่งสมัยนี้ช่องทางที่จะเข้าวงการมันเปิดกว้างมากและง่ายขึ้น ทำให้เราได้เห็นว่าในสังคมนี้ยังมีคนที่เก่งและมีความสามารถอีกเยอะ เราหยุดพัฒนาตัวเองไม่ได้ ส่วนถ้าอนาคตไม่มี “โฟร์-มด” เราจะเสียดายรึเปล่า ก็อย่างที่บอกตั้งแต่ต้นว่าหนูเป็นคนที่ไม่ได้คิดอะไรล่วงหน้า เอาตรงนี้ให้ดีที่สุดละกัน ถ้าวันนั้นมันมาถึง เราก็ต้องหาทางออกว่าเราจะทำยังไงต่อเท่านั้นเอง ซึ่งวง “โฟร์-มด” ให้อะไรกับมดเยอะมาก ทั้งเรื่องการทำงานกับคนหมู่มาก การให้เกียรติกันและกัน การรักษาเวลา ความรับผิดชอบ เรื่องของความคิดความอ่าน มันสอนหลาย ๆ เรื่องค่ะ เราทำงานด้วยกันมาตลอด 8 ปี จริง ๆ กับพี่โฟร์ก็เหมือนเป็นพี่เป็นเพื่อน เราก็สนิทกัน สามารถคุยกันได้ทุกเรื่องไม่ว่าจะทำอะไร บางทีเราก็ไม่ต้องพูดหรอก เราทำงานบนเวที เราก็รู้แล้วว่าเราต้องการอะไร”

ถามถึง “น้องเมีย” ละครเรื่องแรกของเราหน่อย?

“ก็รู้สึกตื่นเต้นไปหมดเลย อยากจะดูไว ๆ การที่ได้มาเล่นเรื่องนี้ จริง ๆ ต้องขอบคุณผู้ใหญ่ทุกคนที่ให้โอกาส ซึ่งพอรู้ว่าต้องมาเล่นร้าย ตอนแรกก็กลัวมาก กลัวเล่นไม่ถึง ซึ่งจริง ๆ แล้วหนูไม่ได้ตั้งความคาดหวังเท่าไหร่ เพราะมันเป็นเรื่องแรก เรารอให้ละครออนแอร์ก่อนดีกว่า ก็ตั้งรับฟีดแบ็กว่ามันจะเป็นยังไง เพราะแน่นอนกับเรื่องแรกมันก็ต้องมีข้อเสียอยู่แล้ว เราก็ไม่ได้เก่ง เราก็รับฟังข้อติตรงนั้นมาปรับปรุง ซึ่งฟีดแบ็กจากแฟน ๆ หลังจากที่ดูทีเซอร์ ทุกคนกลัว บอกว่าตาเธอร้ายมาก (ยิ้ม) แต่ในความรู้สึกหนูนะ ถ้ายิ่งคนเกลียด ก็ถือว่าหนูทำสำเร็จ เพราะตอนที่หนูเล่น ยังรู้สึกว่าเกลียดตัวเองเลยว่าทำไมต้องร้ายโรคจิตขนาดนี้ ถามว่ากลัวคนติดภาพร้ายมั้ย จริง ๆ หนูว่าทุกคนก็คงเข้าใจ เพราะละครก็คือละคร เราก็พยายามทำให้เต็มที่กับบทยากค่ะ”

เห็นระยะหลัง เราหันเข้าธรรมะหน่อย เป็นยังไงมายังไงถึงหันมาศึกษาด้านนี้ได้?

“หลายคนคงเห็นข่าวที่ว่ามดไปถือศีล 8 ไปบวชชีพราหมณ์ นั่นคงเป็นจุดเริ่มต้น พอไปก็รู้สึกสนุก ได้ออกจากความวุ่นวายต่าง ๆ นานา มันก็เลยทำให้เรารู้สึกว่าอยู่ตรงนั้นมันนิ่ง ตัวเราก็ปล่อยวางได้ เลยทำให้รู้สึกว่านี่แหละอาจจะเป็นสิ่งนึงที่เราชอบ และตอนที่เราไปวัดท่าไม้ เราก็เจอกับพระอาจารย์อุเทน สิริสาโร เจ้าอาวาส ท่านก็สอนธรรมะและชี้แนะเรา เราก็รู้สึกดีขึ้น ซึ่งเมื่อได้ปฏิบัติธรรมแล้ว สิ่งที่เปลี่ยนมากที่สุดคงเป็นเรื่องของความคิด หนูไม่ได้บอกว่าหนูโตขนาดที่จะคิดได้ทุกอย่าง ก็อาจจะมีบางทีที่ผิดบ้าง แต่อย่างน้อยเวลาที่ทำอะไรก็จะคิดก่อน”

ก่อนหน้านี้ก็มักมีข่าวว่าเราดื้อกับแม่บ้าง ทะเลาะกับแม่บ้าง ธรรมะมีส่วนช่วยบ้างมั้ย?

“ตอนนั้นหนูยังเด็ก มีเด็กคนไหนบ้างไม่ดื้อ แต่พอเราได้ปฏิบัติธรรม มันก็มีส่วนทำให้มีความรู้สึกว่าเราได้คิดอะไรมากขึ้นเท่านั้นเอง และด้วยอายุเพิ่มขึ้นบวกกับประสบการณ์ที่เราได้เจอในการทำงาน เรื่องราวต่าง ๆ ในชีวิต และสิ่งที่คุณพ่อคุณแม่สอนด้วย ส่วนเรื่องบวชพราหมณ์ก็เพิ่งมาบวชต้นปีนี้ หลังจากบวชก็รู้สึกดีนะ เพราะเราได้สงบและปล่อยวาง อย่างที่บอกเวลาเราต้องการที่จะปล่อยออกจากโลกภายนอก และมีเพียงแค่โลกของตัวเอง มันทำให้เราได้มองเห็นอะไรหลาย ๆ อย่างที่เราไม่เคยได้เห็นมาก่อนค่ะ”

เข้าวงการมาเราก็มีข่าวไม่ดีเยอะ มันทำให้เราท้อมั้ย?

“แรก ๆ อาจจะมีบ้างที่ท้อ ไม่ไหว ไม่เอาดีกว่า แต่ต้องยอมรับเลยว่าหลังจากที่เราได้มาปฏิบัติธรรม ก็ทำให้เราได้มองอีกหลายมุม มากกว่าที่เราเห็นตัวเราเอง ได้คิดว่าสิ่งที่เราทำตรงนี้เป็นโอกาสที่หลายคนไม่มี ได้เห็นคนรอบข้างมากขึ้น ไม่ใช่ว่าเราเจอปัญหาแล้วจะถอย แต่มันอยู่ที่ว่าเราเจอปัญหาแล้ว เราจะสู้ จะชน จะแก้มันยังไง เพราะในสังคมมีอีกหลายคนที่ต้องเจอปัญหามากกว่า ต้องขยันทำงาน ต้องเหนื่อยมากกว่ามดที่จะเลี้ยงชีพตัวเอง แต่ทำไมเขาไม่คิดที่จะท้อ ซึ่งการที่มดได้เข้าธรรมะตั้งแต่ตอนนี้ก็มองว่าตัวเองโชคดีนะ เพราะการเข้าวัดไม่ใช่แค่เดินไปไหว้พระมันก็ใช่ เราต้องเข้าไปด้วยจิตใจที่เราใฝ่ธรรมะจริง ๆ”

ถามถึงหัวใจบ้างโสดมานานแล้วนะ เมื่อไหร่จะเปิดรับใครสักที?

“ก็ดีค่ะ จริง ๆ แล้วมดอยู่เฉย ๆ เลยนะ ไม่ได้ปิดกั้นว่าฉันไม่อยากคุยกับใคร แต่เพียงแค่ช่วงนี้ทำงานหนักมาก แล้วก็มีเรื่องเรียนอีก เลยทำให้ไม่มีเวลาเท่าไหร่ เราก็มีคนเข้ามานะ แต่ว่ามดยุ่ง ทำแต่งาน ช่วงเวลาว่างก็น้อยนิดเหลือเกิน เราก็เอาช่วงเวลานั้นไปพักผ่อน ถามว่าแอบเหงามั้ย ถ้าในเวลาทำงานก็ไม่เหงาหรอก เพราะเราเจอคนเยอะแยะ พอมาอยู่ที่บ้านก็มีความสุขอีกแบบ อยู่กับคุณพ่อคุณแม่ แต่บางทีมันก็มีเหงา ๆ นะ ว่าไม่มีคนคุยก็แค่นั้น เราก็ไม่ได้ไขว่คว้า คือเรื่องการมีความรักเป็นธรรมชาติของวัยรุ่นอยู่แล้ว เป็นเรื่องธรรมดาของผู้หญิงที่ต้องมีแฟน แต่เราก็ไม่มีเวลาจริง ๆ เลยมองว่าถ้ามันจะมีเดี๋ยวก็มีเองแหละ ถ้าหากเจอคนที่ใช่ เดี๋ยวก็ใช่เองค่ะ”

แล้วคนที่จะดูแลหัวใจมดได้ต้องเป็นคนแบบไหน?

“ตอนนี้เหมือนความคิดมดเปลี่ยนไปเยอะเลย แต่ก่อนเราขอแค่เข้าใจเราก็พอแล้ว แต่ตอนนี้เรามองถึงอนาคตที่ไกลมาก เพราะถ้าเราเลือกที่จะคบใครก็ไม่ใช่ว่าคบแค่นั้นแล้วก็เลิก เรามองว่าถ้าเราคบ เขาเข้าใจเรามั้ย รับที่เป็นตัวเราได้รึเปล่า แน่นอนเลยเราเป็นผู้หญิง คนที่เข้ามาต้องดูแลเลี้ยงดูเราได้ และมดรู้สึกว่าเขาต้องเป็นคนทำมาหากิน เพราะเราก็ทำมาหากินด้วยตัวเราเองได้ ฉะนั้นคนที่เข้ามาต้องขยันมาก ห้ามมาเกาะเรา เพราะคุณเป็นผู้ชายต้องสามารถเลี้ยงดูรับผิดชอบครอบครัวได้ ถ้าจะดูแลเราต้องดูแลให้ดีที่สุด และที่สำคัญต้องรักทั้งพ่อแม่เราและพ่อแม่เค้าเองด้วยค่ะ”