Inside Dara
“จอย-รินลณี” อีกขั้นของความสำเร็จกับ “รัก” ที่มั่นใจว่าใช่

แจ้งเกิดในฐานะนางเอกละครรีเมก “บ้านทรายทอง” ของผู้จัดฯ “เจ๊ไก่-วรายุฑ มิลินทจินดา” เมื่อหลายปีก่อน ทำให้ชื่อของ “จอย-รินลณี ศรีเพ็ญ” กลายเป็นที่จับตามองของใครหลายคน แม้ว่าผลงานละครเรื่องแรกในตอนนั้น จะมีเสียงวิพากษ์วิจารณ์เกี่ยวกับหน้าตาของเธอ ถึงขั้นถูกแซวต่าง ๆ นานา แต่ในที่สุดเวลาก็เป็นเครื่องพิสูจน์ผลงาน จนทำให้ ณ วันนี้ เธอคือนักแสดงที่อยู่ในใจของแฟนละครที่ชื่นชอบ ทั้งในเรื่องส่วนตัวและเรื่องงาน

หลังจากนั้นไม่กี่ปี “จอย” ก้าวอีกขั้นกับการเป็นนักแสดงมืออาชีพกับบทร้ายในละคร “จำเลยรัก” ที่ทำให้คนดูจงเกลียดจงชังเธอยิ่งนัก และที่กระฉ่อนเมืองอย่างที่สุดเห็นจะเป็นบทบาทของ “คุณนายที่สอง” ในละครดัง “มงกุฎดอกส้ม” และ “ดอกส้มสีทอง” ไม่เพียงแค่นั้น เธอยังเป็นพิธีกรในรายการ อาทิ สตาร์โชว์, เปรี้ยวปาก แถมงานอีเว้นท์ก็มีให้เห็นเป็นระยะ ๆ เรียกได้ว่า มีงานเข้ามาแทบไม่ขาดสาย นั่นแสดงให้เห็นว่า ผู้หญิงเก่งคนนี้มีความสามารถรอบด้านทีเดียว ล่าสุด “จอย” ขึ้นแท่นเป็นพรีเซ็นเตอร์ให้กับเครื่องสำอางเอ็มทีไอ ที่เซ็นสัญญาถึง 4 ปีเต็ม และนั่นส่งผลให้เธอตั้งอกตั้งใจที่จะมีส่วนร่วมด้านการผลิตเครื่องสำอางสำหรับผิวคนไทยโดยเฉพาะ

ว่าแล้วเรามาอัพเดทเรื่องงานแสดง และที่พลาดไม่ได้เรื่องหัวใจดวงน้อย ๆของเธอดีกว่า

ตอนนี้ถ่ายละครเรื่องอะไรอยู่บ้างคะ“จอยกำลังถ่ายละครสาปพะเพ็ง ของค่ายเป่าจินจงค่ะ เป็นเรื่องราว 2 ยุค คือ เมื่อพันปีที่แล้วกับปัจจุบัน ซึ่งเมื่อพันปีที่แล้วจอยเล่นเป็นเจ้านางอินยา เจ้านางที่ไม่ได้รับการแต่งตั้ง เลยวางแผนชิงบัลลังก์ โดยร่วมมือกับอีกเมืองหนึ่ง ส่วนปัจจุบันเล่นเป็น เพชรลดา ผู้หญิงเชย ๆ ใส่แว่น คอยเลี้ยงดูหลานที่พิการและพยายามให้ทุกคนตรวจสอบการตายของพี่ชายว่าเป็นการฆาตกรรม ไม่ใช่การฆ่าตัวตาย ซึ่งเรื่องราวในปัจจุบันคือการสืบคดีการฆาตกรรมค่ะ”

แสดงว่า “จอย” เล่นบทอะไรก็ได้ “ก็ไม่ถึงขนาดนั้นนะคะ จอยไม่ได้วางตัวเองว่าจะต้องเล่นเป็นนางเอกตลอด จอยชอบคำว่า นักแสดง มากกว่า นักแสดงจะสามารถเล่นบทไหนก็ได้ บทที่มีความสำคัญหรือเป็นสีสันของเรื่อง มีอะไรให้จอยได้เล่น ได้แสดง” ช่วงหลัง ๆ เล่นบทร้ายบ่อย จริง ๆชอบเล่นบทนางเอกหรือบทร้ายมากกว่ากัน “จอยชอบเหมือน ๆ กัน เพราะถึงเล่นร้าย จอยก็ไม่เคยคิดว่าตัวละครที่เล่นเป็นตัวร้าย เพราะจอยเชื่อว่าไม่มีใครเกิดมาแล้วบอกหรือคิดว่าตัวเองเป็นคนเลว คนชั่ว ทุกคนทำทุกอย่างย่อมมีเหตุผล มีที่มาที่ไปแต่อาจจะเป็นเหตุผลที่ผิดเท่านั้นเอง เพราะฉะนั้นจอยจะชอบที่เรื่องราวตัวบท มากกว่าตัวร้ายหรือตัวดีค่ะ”

นอกจากงานแสดง ตอนนี้หันไปทำธุรกิจความงามด้วย ช่วยเล่าให้ฟังหน่อย “จอยรู้สึกตื่นเต้นมากค่ะ เพราะปกติเป็นคนที่สนใจเกี่ยวกับ สกิน แคร์ และเครื่องสำอางอยู่แล้ว ชอบลองชอบศึกษา เรียกได้ว่าทุกแบรนด์ที่อยู่เมืองไทย หรืออีกหลาย ๆ แบรนด์ของต่างประเทศได้ทดลองมาหมดแล้ว เพราะฉะนั้นถ้าจะมีผลิตภัณฑ์ของตัวเองก็จะพยายามทำให้ดีที่สุด ทำในแบบที่ตัวเราเองอยากใช้และมั่นใจที่จะใช้ เพราะฉะนั้นจอยเข้าไปลองผลิตภัณฑ์เองตั้งแต่ต้นว่าใช้แล้วเป็นยังไงบ้าง ใช้ดีมั้ย ใช้แล้วแพ้มั้ย เพราะโดยส่วนตัวเป็นคนผิวแพ้ง่าย จึงเน้นว่าใช้แล้วต้องไม่แพ้”

มีส่วนร่วมกับผลิตภัณฑ์ตัวนี้ยังไงบ้าง “จอยมีส่วนร่วมตั้งแต่ต้นเพราะพอทาง เอ็มทีไอเรียกเข้าไปคุยว่าอยากทำสินค้าตัวไหน จอยก็เลือกเองว่าอยากทำ บีบี ครีม เพราะรู้สึกว่าตอบโจทย์คนรุ่นใหม่ที่ต้องแข่งกับเวลารีบด่วน อยากทาตัวเดียวแล้วจบเลย ซึ่งปัจจุบันคนก็นิยม บีบีครีมของเกาหลี แต่พอคนไทยเอามาใช้ก็จะเกิดปัญหา คือ หน้าขาวลอย, สีเปลี่ยนระหว่างวันไม่เหมาะกับคนไทย เราก็เลยคิดว่าอยากทำครีมที่เหมาะกับคนไทย สีผิวคนไทย เหงื่อออกเยอะได้ และสีไม่เปลี่ยนระหว่างวัน และจอยเลือกแบบเองทั้งหลอด กล่อง ตัวการ์ตูน คอนเซปต์ทั้งหมด ส่วนในการจัดงานก็ดูเองทุกอย่าง ในส่วนของโชว์ว่าอยากได้ใครอยากได้แบบไหน ก็โทรฯ ติดต่อทุกคนด้วยตัวเอง และก็ดูแลในส่วนของประชาสัมพันธ์ สื่อด้วยค่ะ”

ตอนนี้กลายเป็น “เจ้าแม่บิวตี้” ไปแล้ว “ก็ไม่ถึงขนาดนั้นนะคะ เพียงแค่จอยชอบ แล้วก็ลองมาทุกอย่าง อีกอย่างหนึ่งจอยเป็นคนที่ผิวแพ้ง่ายมาก พี่สาวก็แพ้ ก็เลยทดลองใช้ยี่ห้อโน้นนี่มาตลอด เพราะฉะนั้นก่อนผลิตสินค้าตัวนี้ จอยก็ขอเลยว่า ต้องไม่แพ้ คือถ้าผ่านจอยกับพี่สาวได้ ผิวของคนอื่น ๆ ก็ใช้ได้สบายค่ะ”

ตัดสินใจนานมั้ย กว่าจะหันมาทำธุรกิจความงาม “ไม่นานเลย เพราะถ้าถามว่าอยากทำอะไร จอยตอบได้ทันทีว่า อยากทำพวกครีม เครื่องสำอาง

เพราะจอยเป็นคนชอบใช้ แต่ก่อนเค้าจะใช้บีบี ก็จะมียี่ห้อโน้นยี่ห้อนี้ออกมาเยอะ จอยก็เลยเลือกที่จะทำตัวนี้ เพราะมีความรู้สึกว่ามันง่าย จอยไม่ชอบรองพื้นเยอะ ผลิตภัณฑ์ตัวนี้นับได้ว่าเป็นก้าวแรก เพราะว่าจอยทำงานในวงการมาสิบกว่าปี แต่ว่ายังไม่เคยทำธุรกิจค่ะ ก็มีสหพัฒน์กับเอ็มทีไอคอยหนุนหลังให้ เราก็รู้สึกว่าเราอุ่นใจค่ะต้องบอกว่ารู้สึกดีใจมาก ยิ่งใช้เป็นชื่อเรายิ่งดีใจค่ะ เพราะเวลาเห็นชื่อเรา เราก็ปลื้มเป็นของเราจริง ๆ”

แล้วคนใกล้ตัว อย่าง “น็อต-วรฤทธิ์” ว่ายังไงบ้าง และช่วยงานบ้างมั้ย “น็อตก็ทดลองใช้เหมือนกันนะ เพราะสมัยนี้ผู้ชายก็รองพื้นกันเยอะ เพราะด้วยอากาศในบ้านเรา ไหนจะแดด ไหนจะฝุ่น ตัวนี้ก็จะช่วยได้ค่ะ แล้วจอยก็ให้คนรอบข้างทุกคนได้ทดลองใช้หมด คนในกองถ่ายหรือในรายการ คือก็เอาไปให้ช่างแต่งหน้าใช้ก่อนเลย แต่ไม่ต้องบอกนักแสดงว่าเป็นอะไร ก็จะรู้กันกับช่างแต่งหน้า ก็ลองดูว่าพอเค้าใช้แล้ว เวลาเข้ากล้องเป็นยังไง ช่างแต่งหน้าก็บอกว่าดี บาง เบา เค้าก็บอกว่าดี น็อตช่วยขายด้วยค่ะ ขายไปได้สามสิบกว่าหลอดแล้วค่ะ (หัวเราะ) ขายเก่งกว่าจอยอีก เราอาจจะไม่ค่อยกล้า แต่น็อตเค้าแนวบังคับซื้อเลย เขามียอดสั่งสูงสุดเลยนะ ขนาดช่างแต่งหน้ายังสู้ไม่ได้ ไม่รู้เค้าขายยังไง เก่งจริง ๆ”

คิดจะชวน “น็อต” มาร่วมหุ้นด้วยมั้ยค่ะ “คงไม่หรอกค่ะ เพราะว่าที่จอยทำนี่มันประจวบเหมาะมากกว่า ไม่ได้ทำร่วมกับใคร ไม่ได้มีความรู้สึกว่าอยากร่วมกับใคร อย่างของเราเองมันก็เป็นความคิดเห็นของเรา แล้วก็มีผู้เชี่ยวชาญที่มีความสามารถ ถ้าเราเริ่มต้นเองทั้งหมดเราก็อาจจะไม่รู้ทิศทางเท่าไหร่ อีกอย่างก็เป็นการเรียนรู้ เป็นก้าวแรกก็ไม่ได้มีหุ้นค่ะ เพราะว่าเป็นส่วนเล็ก ๆ”

งั้น!...ความสัมพันธ์กับ “น็อต” คืบหน้าไปถึงไหนแล้ว “เหมือนเดิมค่ะ คงดูไปเรื่อย ๆ เพราะแต่ละคนก็มีจุดมุ่งหมายที่จะทำ อย่างเค้าก็มุ่งมั่นกับยาหม่องของเค้า เราก็พยายามทำสิ่งของเราให้ดีที่สุด คงดูกันไปเรื่อย ๆ ใจอ่อนเมื่อไหร่จะบอกค่ะ ถามว่าสนิทมั้ยก็สนิทค่ะ เพราะว่ายังไม่ได้ใช้คำว่าแฟน ไม่รู้ซิ คือจอยก็ขนาดนี้แล้ว ถ้าจะให้เรียกว่าแฟนมันต้องชัวร์ว่าจะแต่งงานแล้ว จนรู้สึกว่ามันใช่ ถามว่า มั่นใจมั้ยก็มั่นใจนะคะ ด้วยความที่เป็นเพื่อนกันมานาน ก็เลยค่อนข้างที่จะรู้ว่าเค้าเป็นคนยังไง”

เพื่อน ๆ สละโสดกันไปทีละคู่ ๆ รู้สึกกดดันบ้างมั้ย “จอยไม่กดดันที่เพื่อน ๆ แต่งงานกันไปหมดแล้ว แฮปปี้ที่ไปงานแต่งงาน ไปแสดงความยินดี แล้วถามตัวเองว่าอยากแต่งงานมั้ย ก็ไม่ค่ะ แต่ละคนก็มีทัศนคติ มีไลฟ์สไตล์ในการใช้ชีวิตไม่เหมือนกัน โดยส่วนตัวหรือไลฟ์สไตล์ของจอยยังมีความรู้สึกที่จะชอบแบบนี้ จอยไม่ชอบการเปลี่ยนแปลงในชีวิต คือรู้สึกว่าถ้าเราแต่งงานแล้วต้องไปดูแลใครเพิ่ม หรือมีอะไรเปลี่ยนไป ชอบที่อยู่กับแม่ อยู่กับพี่ตัวเอง อยู่บ้านของตัวเอง คือทำงานเสร็จกลับบ้าน เจอคนในครอบครัว ตื่นมาแล้วเจอแม่ เจอพี่ เหมือนมันเป็นแพทเทิร์นในชีวิตไปแล้ว เพราะรู้ว่าตื่นมาต้องทำอะไรบ้าง มองว่าถ้าวันหนึ่งเราต้องแต่งงาน แล้วมีอะไรเปลี่ยนไป ก็บอกไม่ถูก เพราะไม่เคยมีภาพแบบนี้ในหัว”

พูดแบบเนี้ย ไม่กลัว “น็อต” น้อยใจเหรอ “ไม่ค่ะ เค้าเป็นคนมีเหตุผล และน่าจะเข้าใจในตัวจอย เอาเป็นว่าใจอ่อนเมื่อไหร่แล้วจะบอกค่ะ (หัวเราะ) คือเค้าทราบว่าจอยเป็นคนยังไง เค้ารู้ว่าเราเป็นอย่างนี้ ถ้าตัวเค้าอยากแต่งหรืออยากมีลูก สำหรับจอย ตอนนี้ยังไม่ได้อยากมีครอบครัว ขออยู่อย่างนี้ไปเรื่อย ๆก่อนค่ะ”

รักแล้วรอหน่อยนะตัวเอง.