Inside Dara
ชีวิตในวงการของ ‘ชาคริต’ เติบโต แต่ไม่เปลี่ยนเเปลง

หากพูดถึงนักแสดงที่มีคุณภาพและอยู่ในวงการมากว่า 10 ปี อย่างพระเอกหนุ่ม “ชาคริต แย้มนาม” ทุกคนมักจะชื่นชมบทบาทการแสดงที่เป็นธรรมชาติ เข้าถึงอารมณ์ และเป็นพระเอกที่ยังครองใจแฟน ๆ เสมอในแง่ของการวางตัวในวงการบันเทิง ที่ไม่ว่าจะผ่านไปกี่ปีก็ยังคงติดดิน ไม่หวือหวา และยิ่งชาคริตแต่งงานกับภรรยาคนสวย “วุ้นเส้น-วิริฒิพา” หลายคนรู้สึกได้ว่าทั้งคู่เกิดมาคู่กันและเป็นคู่รักที่น่าอิจฉา งานนี้ “ฮันนี่บี” เลยขอคิวหนุ่มชาคริตมานั่งคุยอัพเดทชีวิตทั้งการทำงาน ธุรกิจ และทายาทตัวน้อยจะมีข่าวดีให้เราได้ยินเมื่อไหร่ แฟน ๆ ติดตามกันเลยจ้า

แพลนในปีนี้ ของชาคริตมีอะไรบ้าง?

“มีรายการต่าง ๆ ที่ผมเป็นพิธีกรครับ มีรายการ คู่คิดจานหลัก, คู่คิดจานด่วน, เชฟกระทะเหล็ก, โหดมันฮา เป็นต่อก็ถ่ายอยู่ แล้วก็ซีรีส์ 7 วันจองเวร ของเวิร์คพอยท์ แล้วก็จะมีละครในปีนี้ครับ เป็นแบบนี้มาประมาณ 15 ปีแล้ว เรายังแฮปปี้กับการที่ทำงานเยอะแบบนี้ แต่คงไม่ได้ใช้พลังเยอะเท่าเมื่อก่อนครับ (หัวเราะ)”

15 ปีในวงการบันเทิง จากวันนั้นจนวันนี้ เติบโตเปลี่ยนแปลงยังไงบ้าง?

“ก็คงเป็นเรื่องของคนบ้างานก็คงเป็นอยู่เหมือนเดิม อยู่ในยีนผมแล้วมั้ง (หัวเราะ) แต่ตอนนี้โตขึ้น นิ่งขึ้นนะ ห่วงเที่ยวน้อยลง แล้วผมมองและมุ่งมั่นในเรื่องของการสร้างอนาคต สร้างครอบครัวมากขึ้นครับ”

ในแง่ของการเป็นนักแสดง ปัจจุบันคืออยู่ในจุดที่โอเคแล้วหรือยัง?

“มันก็ไม่มีคำว่าจุดจบหรือว่าประสบความสำเร็จนะสำหรับผม ผมว่ามันก็สามารถดีขึ้นได้ทุกวันในการเป็นนักแสดง บางทีมันไม่ได้แข่งกับใคร มันแข่งกับตัวเอง บางทีเราก็อยากทำหน้าที่นักแสดงให้มันดีขึ้น ชั่วโมงบินในงานแสดงเราก็มีมากขึ้นแล้วในแต่ละปี ตามอายุที่มากขึ้น แต่ทุกครั้งที่เวลาเริ่มคาแรกเตอร์ใหม่ ผมยังต้องเรียนรู้บทใหม่อยู่ ไม่ได้มองว่าเราเก่งแล้ว เล่น ๆ อะไรไปก็ได้ ยังต้องเรียนรู้เพื่อทำให้ออกมาดีที่สุด”

บางคนจะรู้สึกว่าเราอยู่มานาน เราจะมีความมั่นใจ ตัวเรามองว่ายังไง?

“รับบทใหม่ทีไร ผมเริ่มเรียนรู้จากบทใหม่ทุกครั้ง แต่บางทีการรู้อะไรเยอะไปมันก็ไม่ดีนะ เพราะจะทำให้ความเป็นธรรมชาติหายไปอีก ผมชอบการแสดงที่ทำให้เราถ่ายทอดออกมาเป็นธรรมชาติ ไม่อยากให้ดูเกร็งเหมือนเราแสดง คนถึงชอบบอกว่าผมเล่นละครเหมือนไม่ได้เล่นตามบท แต่เล่นเป็นตัวเองไง(หัวเราะ)”

แต่เห็นว่าด้านธุรกิจก็มีโปรเจคท์ใหญ่ ๆ ที่จะทำเยอะเหมือนกัน?

“ใช่ครับ ตอนนี้มีร้านอาหาร 2 ร้าน คือร้านอาหารไทย และปีหน้าร้านพิซซ่า และกลางปีนี้จะเปิดเฟสเซ็นเตอร์ครับ จุดเริ่มต้นคือผมสนิทกับคุณหมอที่ดูแลฟันให้เรา คุณหมอมีไอเดียจะรวมทุกอย่างในเรื่องของความงาม ทั้งผิว ฟัน ศัลยกรรม แต่เราเน้นไปในเรื่องของทำให้คนสวยแบบธรรมชาติ คือไม่ได้เน้นว่าทุกคนที่เข้ามาปรึกษาต้องทำศัลยกรรม ทุกคนสามารถสวยแบบธรรมชาติของตนเองได้ ด้วยฝีมือของคุณหมอที่จะตัด จัด ย้ายกระดูก ย้ายกราม เหมือนมาดีไซน์หน้าคุณเพื่อออก แบบความสวยงามบนหน้าตาคุณให้เป็นธรรมชาติมากที่สุดครับ”

ทำธุรกิจเยอะขึ้นไม่ใช่คิดจะลดงานในวงการลง?

“ไม่นะ งานในวงการทำอยู่เรื่อย ๆ คงเลิกไม่ได้เพราะมันเป็นสิ่งที่เรารักครับ การแสดงยังไงต้องมีอยู่ทั้งละครและหนัง แต่พิธีกรรายการนี่เลือกทำก็เพราะเป็นสิ่งที่เราสนใจ ทั้งรายการทำอาหารก็สนุก ส่วนรายการแนวแกล้ง ๆ คน ลุย ๆ มัน ๆ ก็สนุกไปอีกแบบ (หัวเราะ) การเป็นพิธีกรมันเป็นตัวเองมากขึ้น ต้องพูดให้รู้เรื่อง แต่ว่าการแสดงมันไม่ใช่ตัวเราเลยโดยสิ้นเชิง แต่ความยากของมันคือทำยังไงให้ถ่ายทอดตรงนั้นออกมาได้ นักแสดงต้องเป็นคนช่างสังเกต แต่ละคนเป็นยังไงใครเป็นยังไง คนประเภทนี้เป็นยังไงแล้วก็เอามารวม ๆ กันจนแสดงออกมาเหมือนจะง่าย แต่การรับบทเป็นคนอื่นที่ไม่ใช่ตัวเรานั้นยากเสมอครับ (ยิ้ม)”

สิ่งที่เราได้เรียนรู้จากการทำงานในวงการบันเทิงมีอะไรบ้าง?

“ง่ายๆ ครับ ก็อย่าบ้าบอ อย่าหลงไปกับชื่อเสียง อย่าแคร์คำพูดคนอื่นมากเกินไป อยู่กับปัจจุบัน อย่าอยู่กับอะไรที่ไม่ใช่ของจริง ให้คิดเสมอว่าเราก็เป็นแค่มนุษย์ทำงานคนหนึ่ง ที่ทำงานในด้านของศิลปะ แม้แต่แฟนคลับที่ติดตามงานของเรา คือต้องยอมรับ ถ้าไม่มีพวกเค้า ก็คงไม่มี “ชาคริต แย้มนาม” จนถึงวันนี้ ใครมาดีกับเรา ก็อย่าคิดว่าเราจะเป็นเทวดา เป็นพระเจ้า ทำตัวธรรมดาให้มากที่สุด แบ่งพาร์ตชีวิตให้ดีเราจะมีความสุขเหมือนคนทั่วไปครับ ผมไม่เคยลืมตัวนะ ไม่เคยทำตัวเป็นพระเอกที่ไหน ผมก็คือผมแบบนี้ อาจจะเป็นคนดิบ ๆ ด้วยมั้ง เลยไม่คิดว่าอะไรมันจะมาเปลี่ยนเราได้ ผมมีความสุขกับการเป็นตัวผมมากกว่าครับ”

ในยุคนี้น้อง ๆ ที่เข้ามาในวงการก็เข้ามาง่าย เกิดขึ้นเยอะ?

“ใช่ครับ ก็สุดก็แล้วแต่น้อง ๆ เค้า เราไม่ได้อยู่ในฐานะที่จะไปสอนใครได้นะ เพราะวิถีการทำงานของแต่ละคนก็ไม่เหมือนกัน การใส่ใจก็ไม่เหมือนกันแล้ว เพราะฉะนั้นผมเลยพูดได้แค่ตัวผม เราสอนใครไม่ได้หรอก ทุกคนรู้อยู่แล้วหน้าที่ของตัวเองคืออะไร อยู่ที่จะรับผิดชอบมากน้อยแค่ไหนมากกว่า ซึ่งคนดู ผู้ร่วมงานเค้าจะรู้เองครับ”

ชีวิตครอบครัวกับภรรยาเป็นยังไงบ้าง?

“ก็ผมโชคดีนะ เพราะผมว่าผู้หญิงก็คือผู้หญิง ต่อให้อยู่ในวงการหรือไม่ใช่ คือถ้าเขาจะไม่เข้าใจคงแย่ แต่ผมได้ภรรยาที่เข้าใจมาก และเขารักผมจริง ๆ และเขาดูแลผมทุกอย่าง คือเขาทำให้เราเป็นคนดีขึ้น รู้สึกตัวว่ามีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้น เพราะเมื่อก่อนเราก็ทำแต่งาน ไม่ได้คิดด้วยซ้ำว่าเราจะมีแฟนหรือเปล่า คิดแค่อยู่คนเดียว เราก็ทำแต่งานใช้เงิน สนุกไป ไม่มีจุดหมาย ทั้ง ๆ ที่เราเป็นคนที่ศรัทธาในความรัก แต่มันหมดไปช่วงหนึ่ง แต่ถึงสุดท้ายแล้วรักแท้มันมีจริง มันก็มาเติมเต็มให้เรา มีความฝัน ความหวังครับ”

การมีครอบครัวที่สมบูรณ์มันเปลี่ยนเราไปเยอะไหม ในด้านของการใช้ชีวิต?

“ผมว่าครอบครัวจะสมบูรณ์ได้อยู่ที่เรานี่แหละ ไม่ใช่แต่งงานปุ๊บครอบครัวจะสมบูรณ์เลยเป็นไปไม่ได้ มันอยู่ที่คนสองคนที่ต้องให้เกียรติกัน รักกัน ดูแลกันจริง ๆ ซึ่งถ้าเราให้คุณค่ากับตรงนั้น ทำสม่ำเสมอทุกอย่างจะมาเองโดยธรรมชาติครับ วุ้นเองให้กำลังใจผมอย่างดี ซึ่งเราก็ได้ดูแลเค้าเหมือนกัน ถนอมน้ำใจซึ่งกันและกัน คนจะมองว่าผมแมน ๆ ไม่หวาน แต่รู้มั้ยเวลาเราอยู่ด้วยกัน ทั้งเขาและผมนะ ติงต๊องจะตาย มุ้งมิ้ง พูดภาษาเอเลียน ผมมีหมดอะ ถึงขั้นหนักกว่าคนอื่นเลยด้วย”

เรื่องมีน้องล่ะคนก็ลุ้นเยอะ?

“จริง ๆ แล้ว วุ้นเองก็ยังทำงานได้อีกเยอะ คือผมเองก็อยากมีนะ แต่ก็รออีกนิดให้ทุกอย่างเข้าที่เข้าทางก่อน ก็หวังว่าไม่น่าเกิน 2 ปีครับ เราอยากมีลูกนะ ไม่อยากให้สายจนเกินไป เพราะเราก็อยากมีตอนที่เรายังโตทันกัน ไม่อยากให้คุณย่า คุณตา คุณยายเฉาก่อนกว่าจะได้อุ้มหลาน”

สุดท้ายฝากถึงแฟน ๆ ที่ติดตามเรามาตลอดหน่อย?

“ขอบคุณแฟน ๆ ทุกคนที่ติดตามผลงานผมมาตลอด ก็พยายามทำทุกงานอย่างเต็มที่ต่อไป ตอนนี้ชีวิตผมแฮปปี้ทุกอย่าง เพราะมันมีจุดหมายแล้ว การกระทำทุกก้าว คือสิ่งที่เราเรียนรู้ไปไม่สิ้นสุดเสมอครับ”

จากการพูดคุยกับ “ชาคริต” ในวันนี้ เราได้เห็นความเป็นตัวของตัวเอง ที่ไม่เลือนหายไปพร้อมกับชื่อเสียงของเค้า ยังไงติดตามผลงานต่อ ๆ ไปด้วยนะคะ.