Inside Dara
จากเพลงทำมือสู่งานคุณภาพ 'Room 39' และ 'Sixty Miles'

เดี๋ยวนี้ เวลาจะฟังเพลงก็คงหนีไม่พ้นการคลิกหาเพลงฟังผ่านเว็บไซต์ยูทูบ แหล่งค้นหาเพลงฟังได้ทุกเพลง มีทั้งเพลงใหม่ๆ เอ็มวีสวยๆ หรือแม้กระทั่งการคัฟเวอร์เพลงเพราะๆ จากศิลปินโนเนม จนกลายเป็นที่รู้จักกันในคนหมู่มาก อีกทั้งยังเป็นสื่อกลางช่วยให้นักร้อง นักดนตรี หรือคนทำเพลงได้มีพื้นที่แสดงถึงความใฝ่ฝันของตนเอง ให้เป็นที่รู้จักกันบนโลกออนไลน์ เหมือนเป็นกระบอกเสียงช่วยแชร์ผลงานออกไปให้เป็นที่รู้จัก และหลายผลงานในนั้นต่างก็ถูกอกถูกใจผู้ฟังมากมาย ก่อให้เกิดดาวดวงใหม่ประดับวงการเพลงมานักต่อนักแล้ว

ยกตัวอย่างที่เห็นได้ชัด อย่างวง Room 39 ที่ทำการคัฟเวอร์เพลงลงยูทูบ ซึ่งแต่ละเพลงมียอดวิวไม่ต่ำว่าล้านวิว วงนี้เกิดจากนักดนตรีวง Mosquito Bite ที่เล่นดนตรีในประเทศสหรัฐอเมริกา ประกอบด้วย ทอม อิศรา และ มน ชุติมน วิจิตรทฤษฎี นักร้องนำ เป็นนักร้องนำ ส่วนแว่นใหญ่ โอฬาร ชูใจ หนุ่มแว่นโตมือกีตาร์มือฉมัง และเพื่อนๆ อีกหลายคน ที่รวมตัวกันร้องเพลงในร้านอาหารไทย ชื่อว่า "เครื่องเทศ" ที่แอลเอ เกิดคิดสนุกอยากทำเพลงเล่นๆ แบบ ขำๆ ลงยูทูบ เพราะมีความคิดว่าดนตรีไม่ได้จำกัดอยู่ในห้องอัด จึงรวมตัวกันในนาม Room39 และร้องคัฟเวอร์เพลงของศิลปินดังหลายท่าน จนกระทั่งมีคนไทยกลุ่มหนึ่งไปพบคลิปของ Room39 ในยูทูบเข้า และเอามาโพสต์บนเว็บไซต์แบ่งปันกันไปเรื่อยๆ จนเป็นที่รู้จักแพร่หลาย จนทำให้วง Room39 ก็ได้เซ็นสัญญาเข้ามาเป็นศิลปินเต็มตัวในสังกัด Loveis และสร้างกระแสฮือฮาอย่างมากมายในหมู่นักฟังเพลง และมาถึงวันนี้หลายๆ คนก็หันมาเป็นแฟนคลับที่ตั้งหน้าตั้งตารอเพลงใหม่จาก Room 39 อย่างสม่ำเสมอ

เมื่อครั้งสมัยที่ ทอม มน และ แว่นใหญ่ ยังทำเพลงคัฟเวอร์ลงยูทูบอยู่ที่แอลเอ

โดยสมาชิกในวงอย่าง ทอม มน และ แว่นใหญ่ ในฐานะรุ่นพี่ที่เคยอยู่จุดคัฟเวอร์เพลงในยูทูบจนโด่งดังมาก่อน ได้ให้แนวคิดต่อน้องๆ ที่คิดอยากจะมายืนจุดนี้เหมือนกันว่า

แว่นใหญ่ : "ผมสนับสนุนว่าอยากให้ทุกคนทำในสิ่งที่รักมากกว่า อย่าไปมองว่าทำตามๆ กันไป อยากให้ทำเพราะว่ามันเป็นช่องทางที่เราอยากให้เสนอความคิดสร้างสรรค์ หรือว่าทำสิ่งที่เรารัก เราอย่าไปคิดว่าจะทำวงดนตรี มันต้องมีค่ายเพลงเท่านั้น หรือว่าเราต้องเป็นศิลปินที่ต้องได้ออกอัลบั้มเท่านั้น สิ่งเล็กๆ ที่เราทำ เราทำด้วยความรัก มันก็เป็นความสุขของมันอยู่แล้ว โดยที่ไม่ต้องมองเรื่องการประสบความสำเร็จของการเป็นศิลปิน มันก็เป็นสิ่งที่ดีสำหรับเราเองอยู่แล้ว อยากให้เราทำโดยไม่ต้องตั้งเป้า หากพอเรายังไปไม่ถึง มันก็จะเหนื่อยและหมดแรงว่ายังไปไม่ถึงตรงนั้นสักที ผมว่าเราอาจจะเป็นจำนวนคนแรกๆ ที่ทำ แต่ก่อนหน้านั้นก็มีอยู่นะครับ ถึงตอนนี้เค้าก็ยังทำ ผมมองว่าเป็นเรื่องของความพอดีๆ ด้วย"

มน : "เราอยากให้สนุกไปกับทุกๆ ตอนที่เราทำมากกว่า ถ้าเราตั้งใจทำและเลือกทำในสิ่งที่ดี คิดว่าน่าจะประสบความสำเร็จ คนจะหันมามองเราเอง ก่อนที่คุณจะได้รับโอกาส มันก็ต้องมีฝึกซ้อมก่อน มีความพยายามให้มากๆ ก่อน พอคุณเก่งขึ้นและคุณพร้อม ทุกอย่างมันจะมาเองค่ะ"

ทอม : "อาจจะเคยฟังของคนที่เก่งๆ เทพๆ มาแล้ว มาฟังของคนที่ง่ายๆ บ้าง แล้วเป็นเรื่องของจังหวะเวลาและโอกาสด้วย เราก็ไม่ได้เก่งขนาดที่ทุกคนจะต้องมาเอาเราเป็นศิลปินเลย เรามองว่าทุกอย่างมีเวลาของมันเอง"

คิดว่าเราโชคดีไหม ที่มายืนอยู่จุดนี้ได้?

ทอม : "โชคดีมากครับ เรียกว่าถูกแจ็กพอตด้วย"

แว่นใหญ่ : "ผมมองว่า ถ้าน้องๆ มีความตั้งใจ ข้อดีของการเป็นศิลปินอินดี้ของเรา เราทำเพลงมาแล้วเราสามารถเอามาเล่นกับกลุ่มคนสักกลุ่มหนึ่งให้ได้ และเค้าชอบเรา อย่างน้อยเราก็มีแฟนเพลงของตัวเราเองที่เค้าพร้อมจะเชียร์เราไปตลอดรอดฝั่ง ผมมองว่าเป็นสิ่งที่ดีที่วันหนึ่งเราอาจไม่ต้องพึ่งบริษัทยักษ์ใหญ่มาทำโฆษณาให้ เราอาจไม่ต้องพึ่งสื่อ เราก็สามารถทำอะไรด้วยตัวเองได้ หรือเราอาจจะไปพึ่งสื่อก็ได้ แต่ทุกอย่างที่เราทำด้วยตัวเอง ถึงแม้จะประสบความสำเร็จหรือไม่ก็ตาม แต่ก็พาเราไปที่ใดที่หนึ่งอยู่แล้ว"

ตอนนี้การคัฟเวอร์สิ่งต่างๆมีเยอะมาก อะไรที่จะทำให้โดดเด่นขึ้นมา?

มน : "ผลงานเป็นตัวตัดสิน ไม่ว่าคุณจะคัฟเวอร์ยังไง ต้องดูว่าเอกลักษณ์คุณอยู่ตรงไหน อย่างพวกเราในตอนนั้นอาจจะถูกช่วง ถูกจังหวะ ถูกเวลา คือคนอาจจะเครียดอยากฟังอะไรเบาๆ เราไม่ได้มีเพลงเป็นของตัวเอง แต่เราอยากจะคัฟเวอร์อะไรที่ง่ายๆให้กับคนมากกว่า ถ้าเกิดว่ายุคนี้มีคนที่แตกต่างขึ้นมาและเป็นตัวของตัวเองก็น่าสนใจ"

ทอม : "คลิปแต่ละคลิปต้องมีความเป็นเอกลักษณ์และน่าสนใจให้ได้มากที่สุด คือถ้ามีคนเก่งและเล่นแบบเดียวกันหมดเลย ก็แบบเดียวกัน อย่างสมมติประเทศไทยเราเรียนเก่งหมดเลย ทุกคนเป็นหมอหมดเลยก็ไม่ได้ครับ"

แว่นใหญ่ : "อยู่ที่ความเป็นตัวของตัวเองครับ เราไม่ต้องไปพยายามสร้าง เอาสิ่งที่เรามีเอามาใช้ บางทีไม่ต้องไปขวนขวายมาก เอาออกมาใช้ให้มันดีที่สุด แล้วก็หาว่าสิ่งที่เรามีมันคืออะไร พอหาเจอแล้วไม่ต้องไปไหนแล้ว เรารู้ว่าเราทำอะไร"

ทางด้านวง Sixty Miles ซึ่งเป็นวงศิลปินที่เกิดจากการรวมตัวของเพื่อนกลุ่มหนึ่งที่รักในดนตรีเหมือนกัน และมีความฝันเหมือนกันที่พร้อมจูงมือกันเดินในเส้นทางสายนี้ ประกอบไปด้วย สมาชิก 5 หนุ่มจากรั้วมหาวิทยาลัยพายัพ คือ เบิ้ม, ฟลุค, พีช, ดม และ บีม ที่เป็นเพื่อนเรียนด้วยกันมาตั้งแต่ชั้นอนุบาลที่โรงเรียนปรินส์รอยแยลส์วิทยาลัยมิตรภาพที่ยาวนาน ทำให้พวกเขารวมตัวกันตั้งวงดนตรีอย่างจริงจังตอนเรียนมัธยมต้น ในชื่อของวง Jive โดยสมาชิกแรกเริ่ม มีเพียงแค่ ดม, เบิ้ม, บีม และ ฟลุค ที่ต่างพากันผ่านสมรภูมิการประกวดมาหลายเวที ตั้งแต่ยังไม่พ้นวัยทำบัตรประชาชน

จากประสบการณ์ดนตรีที่ข้ามผ่าน สมาชิกวงได้สับเปลี่ยนหมุนเวียนไปหลายรุ่น กระทั่งมาลงตัวที่ 5 คนในปัจจุบัน พร้อมกับชื่อวงที่เปลี่ยนมาเป็น Sixty Miles อย่างเป็นทางการ เมื่อเดินเข้าสู่ระดับการเรียนในมหาวิทยาลัย รวมถึงฝีไม้ลายมือทางดนตรีที่ก้าวขยับขึ้นไปเล่นอาชีพกันอย่างจริงจังในผับดังของจังหวัดเชียงใหม่ อย่าง Warm Up และที่นั่นเปรียบเสมือนเป็นบันไดก้าวแรกที่เปิดโอกาสทางความสามารถของพวกเขาให้ได้เห็น จุดเด่นอีกอย่างของวงนี้ก็คือความเป็นวงดนตรี ไม่ใช่แต่ละคนเล่นในแบบของใครของมัน

มาถึงวันนี้ ภายใต้สังกัดของ BEC Tero Music กับอัลบั้มเต็มชุดที่สองของพวกเขา ซึ่งหากเมื่อเทียบกับชุดก่อนๆ ผลงานชุดนี้ค่อนข้างสมบูรณ์แบบ ทุกเพลงในอัลบั้มอัดแน่น ชัดเจนในแนวทางดนตรีมากขึ้น และมีโปรดิวเซอร์รุ่นพี่ ซึ่งเป็นคนบ้านเดียวกัน อย่างวง Mild มาเป็นพี่เลี้ยงให้ เลยทำให้ดูเหมือนว่า วง Sixty Miles กับวง Mild เป็นพี่น้องกันยังไงยังงั้น หากเปิดดูยอดวิวแต่ละเพลงของ Sixty Miles เราจะเห็นได้ว่า เพลงพวกเขาไม่ธรรมดาเลยทีเดียว ล่าสุด ที่โด่งดังกันทั้งประเทศ อย่างเพลง หากฉันตาย ที่ตอนนี้มียอดวิวกว่า 90 ล้านกว่าวิวแล้ว แสดงให้เห็นถึงผลงานคุณภาพของวงนี้ และการเปลี่ยนแปลงมากขึ้น จากวงโนเนมน้องใหม่ ที่เพลงยังจับจุดไม่ได้ มาสู่ความเป็นแมส ถูกใจคนฟังมากขึ้น

จากวงดนตรีโนเนม มาสู่วงดนตรีที่มีชื่อเสียง

"เราไม่ยอมถอย เราอายุเท่านี้ คือ 24 ปี แต่เพื่อนๆ เราคนอื่นเค้าทำงานกันหมดแล้ว ทำงานออฟฟิศ เป็นวิศวกร เป็นหมอไปหมดแล้ว มีเงินเดือนกิน แล้วเราจะเอายังไงดี ไปทำงานให้มันมีความมั่นคงดีกว่ามั้ย สิ่งที่เราทำมันเป็นความฝัน ไม่ใช่ทุกคนที่จะมาเดินตรงนี้ได้ มันก็ขึ้นอยู่กับดวง ความสามารถของเรา และองค์ประกอบหลายๆ อย่าง ไม่ใช่ว่าทุกคนจะมาตรงนี้ได้ แต่ว่าคนที่มุ่งมั่นจริงๆ สักวันเค้าจะมาตรงนี้ได้แน่นอน หากถามว่าในอนาคต พวกเราจะยังยืนอยู่บนจุดนี้มั้ย เราก็เคยมองนะครับว่ายังอยู่ เราจะมองอนาคตอันสั้นก่อน สิ่งที่เราต้องทำให้ได้ คือเราต้องประสบความสำเร็จให้ถึงขีดสุดเท่าที่ทุกคนจะไหวและไปถึงขีดสุด ทำเต็มที่ แล้วก็ถึงวันนั้นเราอาจจะแยกย้ายกันไปทำธุรกิจ และอาจกลับมาพบกันใหม่ หรือรียูเนี่ยนกันก็ได้ ทำคอนเสิร์ตใหญ่ ทำให้ดังจนถึงที่สุดเท่าที่จะทำได้ และค่อยกลับมาพบกันใหม่ ถ้าเป็นแนวเรื่องอนาคต ต้องเหมือนพี่ๆ วงนูโว ที่เค้าประสบความสำเร็จไปแล้ว และเค้าก็แยกย้ายกันไปทำงานบางอย่างที่ตัวเองชอบ ที่ตัวเองอยากจะทำแต่ละคน สุดท้ายเค้าก็กลับมาเล่นดนตรี"

หลักไมล์ที่ 60 อาจจะยังไม่ใช่เส้นชัยที่บอกประสบการณ์ทางวัยวุฒิสำหรับสมาชิกทั้ง 5 ของ Sixty Miles แต่ฝีมือและประสบการณ์ทางด้านดนตรีของพวกเขาที่มี เรียกได้ว่าเกินหลักไมล์ที่ 60 มาไกลโข.