Inside Dara
ขีดเขียนฝันทุกสิ่งแลกด้วยความมุ่งมั่น‘ท็อป-จรณ’

ในละครรีเมกสุดสะพรึง ที่เคยสร้างความหลอนให้คนดูมาแล้วสำหรับ ละครเรื่อง “ห้องหุ่น” ที่ครั้งนี้ บริษัท กันตนา เอฟโวลูชั่น จำกัด นำมาปัดฝุ่นอีกครั้งใน เวอร์ชั่น 2015 ออกอากาศทาง ช่อง 3 อีกทั้งโคจรมาพบกันครั้งแรกของสองพระ-นาง “ท็อป" จรณ โสรัตน์ และ “เต้ย” จรินทร์พร จุนเกียรติ งานนี้ถือเป็นการขึ้นแท่นพระเอกนางเอกเต็มตัวของท็อปกับเต้ยเรื่องแรก และ วันนี้ หน้าบันเทิง หนังสือพิมพ์ “คม ชัด ลึก” ขอฉกคิวพระเอกหนุ่มคนนี้มาคุยแบบเปิดอกในทุกเรื่องราวของหนุ่มคนนี้

“ห้องหุ่น”
บทบาท “สันติ” ในเรื่องเป็นอย่างไร

ผมรับบทเป็นสันติ หรือ อาร์ต หนุ่มนักศึกษาในมหาวิทยาลัยศิลปากร เป็นเด็กอาร์ตๆ เป็นรุ่นพี่ของอัมรา รับบทโดยเต้ย ในบทผมเรียนสถาปัตยกรรมชอบปั้นหุ่น แล้วก็เป็นลูกศิษย์ของพ่อนางเอก (“บี๋” ธีรพงศ์ เหลียวรักวงศ์) ด้วย กับบทนี้ผมโอเคมากๆ เพราะได้เล่นเด็กลง แถมเป็นเด็กวัดด้วย เดินไปไหนมาไหนคนก็ชอบดูถูก เขาเลยดูจะค่อนข้างที่จะเจียมเนื้อเจียมตัวอยู่มาก

พูดถึงนางเอก “เต้ย" จรินทร์พร สักหน่อย

ถ้าจะให้ผมพูดถึงเต้ย คือเราสองคนไม่เคยร่วมงานกันมาก่อน แล้วเราได้มาเจอในละครเรื่องนี้เป็นครั้งแรก ซึ่งย้อนไปเมื่อวันที่เราได้มาฟิตติ้งเสื้อผ้าหน้าผมกันวันนี้ คือวันแรกที่ได้เจอเลย เต้ยเขานั่งกินหมูปิ้งอยู่อย่างเพลิดเพลิน โดยที่ไม่สนใจผมเลย ทั้งๆ ที่นั่งข้างๆ แต่เขาจะเรียกชวนคนอื่นๆ อย่างทีมงานให้มาทานด้วย แต่จนแล้วจนรอดก็ไม่เรียกผมทานด้วย จนเหลือหมูไม้สุดท้ายเหมือนเขาเพิ่งนึกได้ว่าผมนั่งอยู่ข้างๆ เขาก็มาถามผมว่าทานหมูมั้ย แต่เขาก็รีบตอบตัวเองนะว่า อุ๊ย...จะหมดแล้วนี่นา แล้วก็ทำหน้าเขินๆ คือเต้ยเขาเป็นคนสดใสนะระหว่างที่เราได้ร่วมงานกัน และเวลาที่จะแกล้งใครสักคน เต้ยคือเป้าหมายแรกๆ เลย เพราะเขาจะชอบตกใจเสียงดัง แกล้งแล้วสนุกดี

บรรยากาศการทำงานหลอนบ้างหรือเปล่า

เอาจริงๆ เลยนะ ตอนที่ผมได้เห็นละครห้องหุ่น ออกอากาศไป ผมตกใจมาก เพราะไม่นึกมาก่อนว่า ละครที่เราเล่นมันจะออกมาหลอนขนาดนี้ คือมันสะพรึงมากเลยนะ ผมบอกเลยคือเบื้องหลังตอนเราแสดงมันก็เป็นฉาก เป็นอารมณ์ที่ไม่ได้ดูน่ากลัวใดๆ อาจจะเป็นเพราะคนอยู่เยอะด้วย บวกกับแสงไฟที่ใช้ ซึ่งมันไม่ได้มืดอย่างที่ออกอากาศไป คือเรื่องนี้ต้องขอยกความดีความชอบให้กับทีมงานตัดต่อด้วยจริงๆ ทั้งเอฟเฟกท์ของผีตัวต่างๆ มาดีจริงๆ

เล่นละครผีต้องเจออาถรรพณ์

ผมไม่ได้เจอแบบจังๆ เป็นรูปร่างขนาดนั้น แต่แบบเหมือนแค่เรารู้สึกได้ มีครั้งหนึ่งเรายกกองไปถ่ายทำ ที่วัดเบญจมบพิตร เป็นตึกเก่าสมัย ร.5 เหมือนเราเข้าไป คือเป็นห้องที่ ร.5 ท่านเคยทรงงานจริงๆ ทีมงานทุกคนก็ไปไหว้ แต่ผมก็รู้สึกมึนๆ หัว รู้สึกตัวหนักๆ เจอแบบนี้มากกว่า ส่วนคนอื่นเจอแบบไหน ผมก็ไม่กล้าถามว่าเจอยังไง กลัวว่าจะหลอนกลัวกันไปหมดทำงานไม่ได้ แต่ผมเองก็พยายามทำบุญบ่อยๆ แล้วก็นั่งสมาธิเป็นประจำอยู่แล้ว ถามว่ากลัวผีไหม ก็มีนิดหนึ่ง แต่พอถึงเวลาเราก็จะนิ่งไปเอง ไม่มีพกของขลังอะไรมันอยู่ที่ใจของเรา

“ผลงานต่อไป”
ถ่ายทำเรื่องชาติพยัคฆ์เป็นอย่างไรบ้าง

เรื่องนี้ถ่ายทำอยู่ใกล้จะปิดกล้องแล้ว ในเรื่องเราต้องเป็นมวยไชยา มีเตะต่อย บางครั้งมีพลาดบ้าง อย่างคราวที่แล้วถ่ายบู๊ครั้งใหญ่ ถ่ายนานมาก มีต้องใช้สลิง มีพลาดกันบ้าง นักแสดงที่เข้าฉากกับผมด้วย เขาก็โดนผมไปหลายดอก ตัวผมก็เจ็บผลจากโหนสลิง ห้อเลือดเพราะเราโดนเส้นเหล็ก เราต้องพยายามคอนโทรลเวลาเราอยู่บนอากาศ นี่เป็นครั้งที่ 2 ที่ใช้สลิง ผมก็ยังไม่ชิน มันเหมือนครั้งแรกเราตื่นนิดหนึ่งว่ามันหมุนยังไง มีความกลัวนิดๆ เรื่องนี้ผมต้องฟิตหุ่นจนมีกล้ามขึ้นมา เพราะในเรื่องถอดเสื้อตลอดเวลา ถ้าไม่งั้นอ้วนอายคนแย่เลย

ละครเรื่อง “กุหลาบตัดเพชร”ถ่ายทำไปถึงไหนแล้ว

ส่วนเรื่อง กุหลาบตัดเพชร นี่ก็กำลังเริ่มถ่ายทำไปแล้ว คราวนี้ได้กลับมาเจอ “วาววา" ณิชารีย์ โชคประจักษ์ชัด อีกครั้งซึ่งเขาจะมาในลุคของสาวสวย รวยเสน่ห์ แต่เบื้องหลังเป็นนางโจรขโมยเพชรฉายาแมวตาเพชร ส่วนผมมาแบบหล่อ เท่ เสน่ห์แรง แอบกะล่อนกวนๆ คิดว่าสาวๆ น่าจะชอบ (หัวเราะ) แถมรวยอีกต่างหาก แต่เบื้องหลังผมจะเป็นจอมโจรขโมยเพชร ใช้ฉายากุหลาบขาว พระเอกนางเอกเรื่องนี้ จะต้องเจอกันแล้วกัดกันตลอดเรื่อง แต่ก็น่ารักดีนะ

“ชีวิตในวงการบันเทิง”
ชีวิตจากก้าวแรกในเส้นทางมายา

ผมเข้ามาในวงการบันเทิง จนถึงตอนนี้ก็ประมาณ 4 ปีกว่าแล้ว จนถึงวันนี้ก็ผ่านไปเร็วเหมือนกัน ดูๆ ไปก็เหมือนกับชีวิตการเรียนมหาวิทยาลัยเลย จากจุดเริ่มต้น ผมได้รับโอกาสจากพี่นก (ฉัตรชัย เปล่งพานิช) ให้มารับบทเลขาฯ หนุ่ม ของนายกรัฐมนตรี ในละครเรื่อง เหนือเมฆ ภาค 2 จากจุดเล็กๆ จุดนั้น ผมก็ได้รับโอกาสดีๆ ขยับขยายและได้รับบทบาที่ดีมากขึ้นมาเรื่อยๆ เอาจริงๆ มันเหมือนจะเป็นความฝันนะ แต่ทั้งหมดมันคือความจริง

วงการบันเทิงเปลี่ยนแปลงอะไรท็อปไปบ้าง

อย่างที่บอกว่ามันเหมือนนชีวิตการเรียนในมหาวิทยาลัย ผมอยู่ในวงการบันเทิงมา 4 ปี มันมอบอะไรให้ผมมากมายเลยนะ ทั้งประสบการณ์ทั้งดี ทั้งร้าย สิ่งดีๆ เราก็จะเก็บกำไว้เป็นกำลังใจ ส่วนเรื่องร้ายๆ หรือแย่ๆ เราก็จะเก็บมันเอาไว้เป็นบทเรียนของเรา ชีวิตในวงการบันเทิง มันต้องแลกมาด้วยอะไรหลายอย่างเช่นกัน ทั้งเรื่องส่วนตัว การพักผ่อน ที่ต้องทุ่มเทกับงานให้มากเพื่อที่จะพัฒนาตัวเองให้มากขึ้นด้วย

กับทุกสิ่งที่เพิ่มมากขึ้นต้องแบกรับความกดดันไว้หรือไม่

แน่อน พอทุกอย่างมันเปลี่ยนแปลงไป ตอนนี้ผมได้รับโอกาสให้ลงละครในบทบาทพระเอกเต็มตัว มันย่อมเปลี่ยนไป ความกดดันมีมากขึ้น ความรับผิดชอบต่องานก็ต้องเพิ่มมากขึ้นตามไปเป็นทวีคูณ เราต้องบอกตัวเองเสมอว่า ทุกวันที่มาทำงาน มากองถ่าย เราจะมาเล่นๆ ให้มาผ่านๆ ไปไม่ได้ เราต้องใส่ใจกับงาน รายละเอียดบทบาท ใส่ใจนักแสดง รวมไปถึงทีมงานทุกคนที่เราทำงานพร้อมกันไปด้วย อีกแง่หนึ่ง คือแฟนคลับนี่เป็นเหมือนกำลังใจของผมด้วย บ่อยครั้งที่พวกเขามาตามเชียร์ผม ผมอยากขอบคุณพวกเขาจากใจจริงๆ ในวันที่ผมท้อผมก็ยังมีพวกเขา

โอกาสที่ได้รับจากผู้ใหญ่เหมือนกำลังถูกดันอย่างเต็มตัว

คือต้องขอบคุณทุกๆ โอกาสเลย ที่ผู้ใหญ่หลายคนมอบให้ผม มันเป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่จริงๆ นะ คำว่าโอกาส สำหรับผม เพราะต่อให้คุณเก่งแค่ไหน เจ๋งแค่ไหน หากไม่มีคำว่าโอกาส ก็ไม่มีทางสำเร็จได้ผมเชื่ออย่างนั้น ผมสัญญาว่าจะเก็บรักษามันไว้เป็นอย่างดี และทำทุกอย่างเพื่องานอย่างเต็มที่

“เช็กสถานะหัวใจ”
สาวที่ใช่ ที่เตะตา ท็อป

สาวที่ถูกใจสำหรับผมง่ายๆ เลย คือสเปกผมคล้ายกับผู้ชายทั่วๆ ไป คือ ตัวเล็ก ขาว หมวย นี่แหละถูกใจที่สุดแล้ว แต่ในความเป็นจริง ผมเป็นคนที่ขี้อายนะ จะให้เข้าไปจีบสาวตรงๆ คงอาการหนักเหมือนกัน ส่วนมากถ้าคนไหนที่ผมชอบจริงๆ ผมจะนิ่งใส่ แล้วดูแลเขาอยู่ห่างๆ อย่างห่วงๆ เป็นแนวแอบรักไป

ทุกวันนี้กล้าพูดเต็มปากหรือเปล่าว่าโสดร้อยเปอร์เซ็นต์

ผม...(หยุดคิดครู่หนึ่ง) กล้าพูดว่าผมโสด (ยิ้ม) คือทุกวันนี้เรายังไม่สามารถไปดูแลใคร หรือผู้หญิงคนไหนได้อย่างเต็มที่ เพราะเรายังคงติดหน้าที่ ยังมีงานที่ต้องรับผิดชอบอยู่ การที่จะผูกมัดใครสักคนหนึ่งด้วยคำว่าแฟน หรือคนรัก มันคงเป็นเรื่องที่ทำได้ยากนะ เพราะผมคิดว่าผมยังไม่พร้อมแน่นอน

ถ้าหากมีความรักจะเลือกเปิด หรือปิด

ถามว่าถ้าผมมีแฟนจะเลือกเปิดหรือปิด จริงๆ ผมไม่ได้ปิดอะไร ด้วยอาชีพของเรา การทำงานเรา ค่อนข้างลำบากพอสมควร เราเป็นผู้ชายต้องให้เกียรติผู้หญิงมากๆ เลยคิดว่าการที่ออกมาเปิดเผยว่าเป็นอะไรกัน มันมีทั้งบวกและลบ เราเห็นตัวอย่างของหลายๆ คนมาแล้ว ผมไม่คิดว่าจะปิด เป็นการเรียนรู้กันไปดีกว่า ถ้าวันหนึ่งมันใช่มันก็ใช่

“นี่แหละ ผู้ชายชื่อ ท็อป”


เขาคนนี้ชื่อ จรณ โสรัตน์
ชื่อเล่น “ท็อป”
เกิดวันที่ 23 พฤษภาคม พ.ศ. 2531
จบการศึกษา จบการศึกษา คณะวิศวกรรมศาสตร์ สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง
ผลงานที่ผ่านมา ละคร เหนือเมฆ ภาค 2 มือปราบจอมขมังเวทย์ / The Sixth Sense สื่อรักสัมผัสหัวใจ / คุณชายรัชชานนท์ / สามีตีตรา
ผลงานปัจจุบัน ละคร เรื่อง ห้องหุ่น / ชาติพยัคฆ์ / กุหลาบตัดเพชร