Inside Dara
‘มด’ ชีวิต...ดี๊ดีโตขึ้นรู้จักคิด

ทำงานสร้างความสุขให้แฟน ๆ มาตั้งแต่เด็ก ทำให้นักร้องสาว มด-ณปภัช วัฒนากมลวุฒิ คู่ดูโอ “โฟร์มด” ได้เติบโตเรียนรู้ชีวิตในวงการบันเทิงมากขึ้น จากเด็กดื้อ ๆ จนตอนนี้กลายเป็นศิลปินอนาคตไกล วันนี้มดมาเยือน “ดาวต่างมุม” ฉบับรับปีใหม่ พูดคุยถึงเหตุการณ์หลาย ๆ อย่างที่เข้ามาให้เธอได้เรียนรู้ ได้สอน และนำมาปรับใช้ ทำให้เธอเป็นผู้ใหญ่ขึ้นมาก ๆ ต่างจากมดในวันวาน

อัพเดทผลงานหน่อยว่ามีอะไรบ้าง?

“ตอนนี้มีละครที่ถ่ายอยู่ของช่อง 8 คือ เรื่อง “ลิเกหมัดสั่ง” แล้วก็เรื่องที่ถ่ายเสร็จไปแล้วคือ “แม้เลือกเกิดได้” รอออนแอร์ปีนี้เลยค่ะ แล้วก็เป็นพิธีกรรายการ “อึ้งทึ่งเสียว” ทางช่อง 8 ค่ะ ส่วนงานเพลงก็ยังทำอยู่ค่ะ แต่ด้วยความที่โจทย์ของโฟร์มดมันยากขึ้น โฟร์มดอยู่มา 10 ปีแล้ว พอทีมเพลงทำเพลงออกมาแล้วรู้สึกว่ามันยังไม่ใช่ เรายังไม่ชอบ ก็ต้องเขียนใหม่ ทำใหม่ ซึ่งยอมรับว่ามันเป็นแบบนี้มาสักพักแล้ว ทำให้ซิงเกิ้ลใหม่ที่จะออกมา คงใช้เวลานานหน่อย ตอนแรกโฟร์กับมดก็คิดว่าจะเสร็จทันปลายปีที่แล้ว แต่พอยังไม่ถูกใจ ยังไม่เหมาะกับโฟร์มด มันก็เลยต้องเลื่อนออกไป”

ที่บอกว่ายากขึ้นคืออะไร?

“ต้องบอกว่าแฟนคลับโฟร์มดที่เขาติดตามมาจากอัลบั้มแรก เขาโตมาพร้อมกับเรา ตอนนี้เขาโตทำงานกันหมดแล้ว ดังนั้นการฟังเพลงของเขาก็เปลี่ยนไปตามอายุ จะมานั่งฟังเพลงแบ๊ว มันก็ไม่ใช่แล้ว การทำเพลงแบบโฟร์มด มันก็เป็นแนวโฟร์มดนี่แหละ แต่ทำให้โฟร์มดดูโตขึ้น แต่ยังน่ารักสดใสแบบโฟร์มดอยู่ มันค่อนข้างยากมันต้องใช้ระยะเวลา แต่ไม่หยุดทำค่ะ เรายังจะทำโฟร์มดอยู่ มดได้คุยกับพี่โฟร์แล้วว่าเรายังอยากร้องเพลง อยากเป็น โฟร์มดอยู่ เพราะฉะนั้นเพลงที่จะออกมา เราอยากให้ออกมาดี”

งานแสดงล่ะลองมาหลายเรื่องแล้วเป็นยังไงบ้าง?

“มันก็สนุกดีนะ ต้องบอกเลยว่าตอนแรกมดไม่เอาเรื่องการแสดงเลย เพราะใจเรากลัวว่า ถ้าเราเล่นไม่ได้ แล้วจะไปถ่วงคนอื่นเขา จนถึงเรื่อง “น้องเมีย” พี่โด่ง (องอาจ สิงห์ลำพอง) บอกว่า ถ้าไม่เล่นเรื่องนี้ถือว่าโง่มากเลยนะ บทมันดีมากเลย แล้วเขายิ่งบอกว่า พี่เมย์ เฟื่องอารมย์ เป็นคนทำ เรายิ่งเกร็งใหญ่เลย ก็มีการเรียนแอ๊คติ้ง เรียนการอ่านบท ตอนนั้นคิดว่าลองดูแล้วกัน ไม่ลองไม่รู้ แต่ใจก็ยังกลัวอยู่ พอเราได้ลองทำมันสนุก เรากลับชอบ มันเป็นอีกประสบการณ์หนึ่งที่เราไม่เคยลอง มันเป็นอะไรที่ดีสำหรับเรา มันฝึกเราได้เยอะ ทำไมเราไม่มองในมุมที่ดี ทำไมเรากลัวอะไรอยู่ตั้งนาน จนพอได้เล่นหลาย ๆ เรื่อง หลายบทบาทก็รู้สึกยิ่งชอบมากขึ้น ต้องขอบคุณเฮียฮ้อ (สุรชัย เชษฐ์โชติศักดิ์) ขอบคุณพี่โด่งมาก ๆ ที่เชื่อใจเรา มดโชคดีมากเลย ที่แต่ละเรื่องบทไม่ซ้ำกันเลย”

ช่วงปีที่ผ่านมาถือว่าโชคดีเรื่องการทำงาน?

“ใช่ค่ะ มดโชคดีที่ผู้ใหญ่มอบโอกาสให้ พอจบเรื่องนั้นก็มีเรื่องนี้ จนเรารู้สึกว่ามันจะมีสักกี่คนที่ได้ละครต่อกันขนาดนี้ มดยอมรับว่ามดไม่ใช่นักแสดงที่เก่ง ยังต้องพัฒนาอีกเยอะ แต่เรากลับได้รับโอกาสที่ดีขนาดนี้ เราเลยต้องทำให้ดีที่สุด เพื่อที่ผู้ใหญ่จะได้รู้ว่าเราไม่ทำให้เขาผิดหวัง ความรู้สึกเหนื่อยมันมี แต่มดเห็นชีวิตของคนข้างนอกที่เขาทำงานหนักกว่ามดตั้งเยอะ แต่เขาอาจจะได้เงินในระดับที่ไม่มากเท่าเรา เขายังไม่บ่นสักคำ เขายังสู้ชีวิต แล้วทำไมเราต้องมานั่งบ่น มดว่ามันต้องทำให้ถึงที่สุด”

ทำงานมาตั้งแต่เด็ก อยากจะมีเวลาไปเที่ยวเล่นแบบคนอื่น ๆ บ้างไหม?

“มันเหมือนยื่นหมูยื่นแมวค่ะ สิ่งที่เราได้กลับมาตอนนี้มันทำให้มดกลับรู้สึกว่ามดโชคดีมาก เราทำงาน เรารู้ว่าการทำงานมันเป็นยังไง แต่เพื่อนบางคนของมดเขายังไม่รู้อะไรเลย เราได้ประสบการณ์ในการทำงาน ได้เรียนรู้อะไรหลาย ๆ อย่าง ทั้งเรื่องความรับผิดชอบ ความคิด เป็นสิ่งที่ได้กลับมาแล้วคุ้มค่า”

มองย้อนกลับไปช่วงที่เราดื้อเป็นยังไงบ้าง?

“มดเคยคิดนะและมานั่งถามตัวเองว่า ถ้าฉันย้อนกลับไป ถ้าฉันรู้ว่ามันจะเกิดเหตุการณ์แบบนี้ ฉันจะทำตัวยังไง มดว่าสิ่งที่ผ่านมาไม่ว่าจะเป็นข้อดี หรือข้อเสีย หรืออะไรที่มันเกิดขึ้นต่าง ๆ นานา มดว่ามันเป็นสิ่งที่ดีแล้วที่มันเกิดขึ้นในชีวิต มันทำให้เราเรียนรู้ว่าอันไหนคืออะไร มันควรหรือไม่ควร ถ้ามดไม่เคยเจอเรื่องเลวร้ายมาก่อน ตอนนี้มดอาจจะไม่มีความคิดแบบนี้เกิดขึ้นก็ได้ มดอาจจะมองอะไรที่ดูเป็นเด็กก็ได้ แต่ด้วยประสบการณ์ที่ผ่านมา มดมองว่ามันเป็นสิ่งที่สอนเราว่านี่แหละคือชีวิต มันมีขึ้นมีลง มีแย่ มีดียังไง เราเรียนรู้จากสิ่งที่ผ่านมา สิ่งที่ผ่านมาสอนอะไรเยอะมากค่ะ เรื่องความคิดของการทำงาน แต่ก่อนยอมรับเลยว่าดื้อ บางทีเราทำงานด้วยความที่เราเป็นเด็ก มันก็มีงอแง เหนื่อย ขี้เกียจ ทำไมต้องตื่นเช้า จนกระทั่งเราได้ไปอยู่วัด ตอนนั้นนั่งอยู่กับพระอาจารย์อุเทน ที่วัดท่าไม้ ท่านก็สอนว่า “โยมดูคนที่มาวัดสิ โยมเห็นอะไรไหม” เราก็ไม่เก็ต พระอาจารย์ก็บอกต่อว่า “โยมดูสิ เขามีความพยายามเนาะ เขาลำบากเนาะ เขามีครอบครัวกันแล้ว แต่เขาต้องทำงานเพื่อเลี้ยงดูครอบครัวของเขา เขาต้องทำงานหนักขนาดไหน แล้วโยมทำงานแค่นี้โยมท้อแล้วเหรอ” มดรู้สึกเหมือนจุก เหมือนเราได้เห็นโลกภายนอกมากขึ้น ทำให้มดมองโลกให้กว้างขึ้น”

วางแผนอนาคตหลังจากนี้ไว้ว่ายังไง?

“ตอนนี้มดรู้สึกว่ามดชอบทำงานในวงการบันเทิง แล้วก็คงทำหน้าที่ตรงนี้ให้ดีที่สุด พยายามทำงานให้เต็มที่ มีอะไรทุ่มไปให้หมด เพราะรู้สึกว่าโอกาสแบบนี้มันหาไม่ได้ง่าย ๆ มันจะมีสักกี่คนที่อยากเข้ามาแล้วได้โอกาสแบบมด ก็เลยมองว่า ทำตอนนี้ให้ดีที่สุด อนาคตก็คงจะยังอยู่ในวงการบันเทิง ถ้ามีโอกาสจุดหนึ่งคงทำงานเบื้องหลัง เรารู้สึกว่าสนุกไปอีกแบบ มันคือการท้าทายชีวิต”

กับเสียงวิจารณ์ต่าง ๆ นานาที่ผ่านมา เรามองคำวิจารณ์นั้นว่ายังไงบ้าง?

“ถ้าวิจารณ์เรื่องมด มดเข้าใจว่ามันเป็นแบบนี้มาแต่ไหนแต่ไรแล้ว แต่ถ้าให้มองตั้งแต่อัลบั้มแรกจนถึงตอนนี้ ด้วยสังคม ด้วยเทคโนโลยีที่มันเข้ามาเยอะมากขึ้น ทำให้สังคมได้ใกล้ชิด นักแสดง ดารา หรือ นักร้องมากขึ้น บางทีกระแสวิพากษ์วิจารณ์ มันเลยเป็นเรื่องใกล้ตัว สิ่งที่คนที่อยู่ในสปอตไลต์อย่างเราทำได้อย่างเดียวเลยคือ ทำใจยอมรับ รับฟังทั้งคำวิจารณ์ที่ดีหรือคำติ แต่อย่าด่าพ่อแม่ เพราะสิ่งที่มดเจอมา ไม่ว่าจะวิจารณ์หรือว่าอะไรมด มดเข้าใจว่ามันเป็นเรื่องปกติ แต่ถ้าถึงขั้นมาว่าพ่อแม่มด อันนี้มดไม่โอเค เพราะมดถือว่าพ่อแม่คือพระในบ้าน อย่าแตะ เรื่องล่าสุดก็เรื่องจมูกนี่แหละค่ะ จะว่าจมูกมดว่าเลย มดโอเค แต่ไม่เข้าใจว่าทำไมต้องมาว่าถึงพ่อแม่ พูดตรง ๆ เลยว่าโกรธมาก รับไม่ได้ ทำไมต้องมาด่าพ่อแม่ฉันและด่าแรงด้วย”

เรื่องจมูกเราคิดผิดหรือถูกที่ไปทำใหม่?

“จริง ๆ ก่อนที่ตัดสินใจจะทำศัลยกรรม อย่างทำตา มดคิดนานนะคิดเป็นปี ทำจมูกมดก็คิดเยอะมาก คุยกับป๊ากับแม่ 5-6 รอบ ถ้าเรารู้สึกว่าเราหาข้อมูลมาดี เราดูว่าคลินิกที่จะไปทำมันดีจริง ๆ ก็ไปทำ เพราะเราก็บอกตั้งแต่แรกว่าอยากเอาซิลิโคนออกเฉย ๆ แต่พอปรึกษาหมอเขาก็บอกว่าไหน ๆ ทำแล้วก็เอากระดูกหลังหูเราเข้าไปใส่สิ เพราะเป็นของในร่างกายเราไม่ใช่สิ่งแปลกปลอม มดก็เลยไปหาข้อมูลจนกระทั่งตัวเองมั่นใจ มันก็เลยรู้สึกว่าคิดดีแล้วที่ไปทำ แต่เรื่องของการทำศัลยกรรมมันไม่ใช่ว่า เราทำเสร็จลุกจากเตียงแล้วจะสวยเลย การผ่าตัดทุกชนิดมันต้องใช้เวลาในการสมาน ตัวมดเองก็ไม่คิดจะปิดบัง ถ้ามีคนถามเราก็บอกว่าเราทำ เราทำงานในวงการบันเทิง พูดตรง ๆ มันก็ต้องใช้หน้าตา ก็ต้องสวยนะ เราก็รู้สึกว่าไหน ๆ ทำแล้วก็เอาที่ดีที่สุดสำหรับเราแล้วกัน ไม่ได้แอนตี้เรื่องการทำศัลยกรรมเลย เพราะมดคิดว่าตอนนี้โลกมันเปิดกว้างมากขึ้น การทำศัลยกรรมมันเป็นเรื่องปกติไปแล้ว คนธรรมดาถ้าเขาอยากสวยเขาก็เดินเข้าไปทำกัน เราก็รู้สึกมั่นใจ แต่มันต้องใช้เวลาในการฟื้นตัว”

ได้จมูกใหม่แล้วได้แฟนใหม่หรือยัง?

“ไม่มี พอมันโตขึ้นแล้วมันเลือกเยอะ แม่สอนมาตั้งแต่เด็กว่า ถ้าเธอจะคบผู้ชายที่หาเงินได้ไม่เท่าเธอ เธอไม่ต้องคบหรอก ตอนแรกเราก็ไม่เข้าใจว่าทำไม จนมาตอนนี้เราก็คิดว่ามันก็จริง เพราะเราทำงานได้ขนาดนี้ แล้วเขาทำงานได้ไม่เท่าเรา มันก็ไม่โอเค มดรู้สึกว่าผู้ชายที่เป็นเจนเทิลแมนจริง ๆ เขาต้องมีความเป็นผู้ใหญ่ ต้องขยันทำงาน เพราะตัวมดบ้าทำงาน เพราะเราต้องดูแลครอบครัว ถ้าเขาเป็นคนไม่ขยันทำงาน แล้วเขาจะมาดูแลเราได้ยังไง แต่ถ้าหาแฟนเป็นคนรวยแล้วทำงานไม่เป็น มันก็มีวันล้มละลายได้ถูกไหม ก็มีคนมาจีบ แต่ถ้าวันหนึ่งมันจะใช่มันก็ใช่เอง ทุกความสัมพันธ์เริ่มจากการเป็นพี่น้องดีกว่า เพราะที่ผ่านมาเริ่มคบกับใครเป็นแฟน พอเลิกกันมันก็มองหน้ากันไม่ติด แต่การที่เราเป็นพี่น้องกัน เราได้รู้นิสัยกันว่าเป็นยังไง ถ้าเป็นแฟนไม่โอเค แต่อย่างน้อยมันยังอยู่ในความเป็นพี่เป็นน้อง ยังไปไหนมาไหนกันได้ เจอกันได้ เราได้รู้จักคนเยอะขึ้นมันก็ดี ถ้าใครที่คุยกันไปเรื่อย ๆ แล้วรู้จักกันมากขึ้น มีความรู้สึกดี ๆ กันมากขึ้น มันก็อาจจะพัฒนาได้”

โตขึ้นสเปกเปลี่ยนไปด้วยไหม?

“มดไม่ได้มีสเปกตายตัว เพราะรู้สึกว่าหน้าตากินไม่ได้ หล่อแล้วยังไง หล่อแล้วดูแลเราไม่ได้ก็ไม่เอา คือเราต้องได้คุย ต้องได้เรียนรู้กัน มดว่าผู้หญิงทุกคนต้องมีคอมมอนเซนส์ว่า คนนี้แหละโอเค ชีวิตคนเราบอกไม่ได้หรอกว่าอายุเท่านี้ฉันจะหาแฟน จะแต่งงาน เรื่องแบบนี้ถ้ามันจะเกิดมันก็ต้องเกิด ถ้าจะมีก็มี ถ้าใช่ก็ใช่ ถ้าเราคาดหวังไว้ แล้วมันไม่ได้เป็นอย่างที่เราคิด สุดท้ายคนที่ทุกข์ที่สุดมันก็เป็นตัวเรา เพราะฉะนั้นอย่าคาดหวังกับอะไร ปล่อยให้มันเป็นไป ชีวิตมีการเปลี่ยนแปลงได้ตลอดอยู่แล้ว”

แล้วเรื่องเรียนเป็นยังไงบ้าง หลังจากที่ย้ายที่เรียนมาหลายที่?

“ตอนนี้เรียนที่ คณะรัฐศาสตร์ ม.รามคำแหง เรื่องเรียนมันก็มีช่วงท้อ เพราะงานมันเยอะจริง ๆ มันเลยค่อนข้างลำบาก เราก็บอกป๊ากับแม่ว่าจะพยายามเรียนให้จบ แต่อาจจะนานหน่อยนะ มดไม่เคยคิดท้อว่าจะเลิกเรียน เพราะมดเชื่อว่ายังไงการศึกษาคือสิ่งที่สำคัญที่สุดอยู่แล้ว เพียงแต่ว่าเราจะจัดการเรื่องของการทำงานยังไงให้มันเข้ากันได้มากที่สุด ตอนนี้พยายามเก็บไปเรื่อย ๆ ไม่กดดันตัวเองด้วย เพราะมีอยู่ช่วงหนึ่งที่เรากดดันตัวเองมาก ๆ แต่ไม่รอดค่ะ ตอนนี้เลยไม่ได้ซีเรียสอะไรเพราะป๊ากับแม่เข้าใจ ตอนเด็ก ๆ เคยคิดว่าหยุดทำงานไปเรียนก่อนดีกว่า แต่พอป๊าบอกว่ามดลองนับจำนวนคนที่เขาพยายามเข้าประกวดต่าง ๆ มีกี่คนที่เขาอยากเข้ามาในวงการบันเทิง แล้วมองดูข้าง ๆ ว่ามีกี่คนที่เขาพยายามหางานให้ตัวเอง เราก็คิดว่างานมันไม่ได้มาง่าย ๆ เราเลยไม่อยากทิ้ง”

ฝากถึงแฟน ๆ ที่ติดตามมาตลอดหน่อย?

“อันดับแรกเลยต้องขอบคุณที่ไม่ได้สิ้นหวังในความเชื่อที่มีต่อตัวมด แล้วก็ขอโทษด้วยที่ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมามดอาจจะมีพลาดพลั้งบ้าง แต่มดจะพยายามทำผลงานที่ดีออกมา ทั้งงานเพลง งานละคร งานพิธีกร จะพยายามทำออกมาให้ดีที่สุด ให้ทุกคนรู้สึกว่านี่แหละคือสิ่งที่เราทำเพื่อทุกคน ในปี 2558 ปีใหม่แล้วอยากให้ทุกคนมีความสุข คิดสิ่งใดก็ให้สมหวังในสิ่งนั้น ปีใหม่แล้วใครอยากจะเริ่มต้นอะไรใหม่ ๆ ก็ลองเริ่มต้น ใครล้มก็ลองมาสู้กับชีวิตแล้วก็แฮปปี้ ๆ ค่ะ”

วันเวลาผ่านไป ชีวิตคนก็เปลี่ยนไป ต้องบอกว่า มด-ณปภัช ในวันนี้เธอโตขึ้นมากจริง ๆ.