Inside Dara
กว่าจะมาถึงวันนี้3ปีชีวิตในวงการของ "ณเดชน์

กำลังจะกลับมาอีกครั้ง กับภาพยนตร์ที่ทำจากสุดยอดบทประพันธ์อมตะจากปลายปากกาของ "ทมยันตี" เรื่อง "คู่กรรม" นำแสดงโดยพระเอกหนุ่มสุดฮอต ณเดชน์ คูกิมิยะ รับบท "โกโบริ" กับนักแสดงสาวหน้าใหม่แกะกล่อง "ริชชี่" อมราวดี ดีคาบาเลส รับบท "อังศุมาลิน" โดยฝีมือการกับกับของ "เรียว" กิตติกร เลียวศิริกุล ค่าย "เอ็ม 39" วันนี้ขอคว้าตัวพระเอกหนุ่มสุดฮอตมาพูดคุยถึงประสบการณ์แสดงภาพยนตร์ครั้งแรก พร้อมเคลียร์มรสุมข่าวที่ถาโถมในช่วงที่ผ่านมา

ครั้งแรกกับงานภาพยนตร์
ความรู้สึกแรก ตอนที่รู้ว่าจะได้มารับบทเป็น "โกโบริ" รู้สึกอย่างไรบ้าง

รู้สึกตื่นเต้นแล้วก็กลัวนะ ด้วยความที่มันเป็นหนังด้วย ไม่รู้ว่าจะเล่นยังไง แล้วก็ไม่รู้ว่าเล่นแล้วจะออกมาดีหรือเปล่า เพราะมันแตกต่างจากละครนิดหนึ่ง ในเรื่องของแอ็กติ้งอะไรแบบนี้ เราเองไม่เคยเห็นบทหนัง เคยแต่ที่เรียนมา พอได้มาสัมผัสจริงๆ บทหนังมันไม่ได้มีภาพอะไรที่ทำให้เราเห็นชัดมาก เราต้องมาดีไซน์ตัวละครกับพี่เรียวอีกที ว่ามันควรจะเป็นคนยังไง มันยากตรงการดีไซน์ ว่าจะต้องมีลักษณะท่าทางยังไง การพูดยังไง มีนิสัยใจคอยังไง

ได้ดู โกโบริ ในหนัง คู่กรรม ในภาคก่อนๆ บ้างมั้ย

ไม่ได้ดูเลย พี่เรียวก็ไม่ได้บอกให้ดูด้วย ซึ่งดีเหมือนกัน เพราะเราจะได้ไม่ติด และไม่ได้ไปดึงภาพของใครมาเล่น แล้วอีกอย่างหนึ่งคือ โกโบริเป็นทหารแต่ไม่ได้มีความเป็นทหารตลอดเวลา เขาจะเป็นทหารต่อเมื่ออยู่ต่อหน้าผู้บังคับบัญชา หรือกับทหารคนอื่นๆ แต่จริงๆ แล้วเขาเป็นแค่คนธรรมดาๆ ที่อายุแค่ 20 กว่าๆ ต้องการใช้ชีวิตปกติ แต่ต้องมามีหน้าที่ภาระรับผิดชอบ ในความที่มีคุณอาหรือคุณลุงเป็นแม่ทัพ ก็ต้องมารับผิดชอบอะไรแบบนี้

รู้มาว่าได้คุยกับ "เบิร์ด"ธงไชย แมคอินไตย์

ก็คุยแค่ว่าเออ... เป็นไงบ้าง แต่ก็ไม่ได้ปรึกษาถึงขั้นที่ว่า แสดงเป็นยังไงขนาดนั้น คือพี่เบิร์ดจะพูดให้กำลังใจ คือผมไม่ได้ไปปรึกษาเรื่องการแสดง หรือเรื่องหนังอะไรแบบนั้นเลย

เห็นมีไปฝึกเรื่องการเป็นทหารในช่วงแรกๆ ด้วย

ใช่ ผมมีไปฝึกในเรื่องของการเข้าระเบียบแถว เรื่องของการหันซ้าย-ขวา แล้วก็การตะเบ๊ะ ว่าทำแบบไหนให้เหมือนทหารญี่ปุ่น ซึ่งมีพี่คนหนึ่ง ที่เขาเป็นนักเรียนทุนไปเป็นทหารอยู่ที่ประเทศญี่ปุ่นเขามาสอนวิธีการต่างๆ ให้ ผมรู้สึกภูมิใจในตัวเองนะ แล้วก็มีความรู้สึกว่าอยากเป็นทหารขึ้นมาเลย

กับตัวของโกโบริ ณเดชน์มีการจับส่วนผสมตรงไหนมาช่วยในการแสดงบ้าง

พูดยากนะ คือผมสังเกตเอาจากหลายๆ อย่างนะ แต่อย่างที่บอก คือถ้ามีเวลาได้ไปเรียน ได้ไปศึกษาจากคนญี่ปุ่นจริงๆ ก็น่าจะจับอะไรมาได้เยอะ ซึ่งพอไม่มี ผมลองอาศัยการจับกิริยาหรือดูเอาจากคุณพ่อ หรืออย่างการดีไซน์กับพี่เรียวก็มาดูกันว่า มันน่าจะออกมาเป็นยังไง อย่างแบบที่ดูคุณพ่อเลยจริงๆ คือความจริงจัง แต่บางครั้งคุณพ่อจะมีเล่นมุกตลกนะ แต่เวลาเล่นมุกแบบไทยๆ ก็จะตลกแบบโป๊งชึ่ง เลยจะดูจากความจริงจัง ความรับผิดชอบ ความรักครอบครัว อันนี้ผมดูเป็นแบบอย่างนะ เท่าที่เราจะสามารถดึงเอาความเป็นโกโบริออกมาได้ หรืออาจจะเรื่องของกายภาพก็มี ที่เอาออกมาใช้ก็คือ พวกท่านั่งตอนทำงาน กินข้าว เวลาเดิน อย่างเดินเนี่ยคุณพ่อแก่แล้ว อาจจะเดินช้านิดหนึ่ง (หัวเราะ)

แล้วพอถึงวันที่เราจะต้องแสดงแล้วล่ะ วันแรกของการถ่ายทำเป็นยังไงบ้าง

โอ้โห... วันนั้นผมติดการแสดงแบบละครมาเต็มๆ เลย แต่พี่เรียวก็เอาจนอยู่ ถ่ายกันหลายเทกเหมือนกัน วันนั้นผมกลุ้มใจมากเลย ต้องถามพี่เรียวตลอดว่า ผมมาถูกทางแล้วหรือยัง ถามจนถึงวันถ่ายวันสุดท้าย ผมยังเดินไปถามพี่เรียว ว่ามันโอเคหรือยัง คัทแล้วไม่เคยเดินไปพักเลย ต้องถามพี่เรียวก่อนว่าเป็นยังไง คือมันก็จะช่วยให้เราเองมั่นใจขึ้นมาด้วย

ฉากไหนซีนไหนยากที่สุดสำหรับเรา

จริงๆ ยากทุกฉากนะ แต่ที่ยากที่สุดจริงๆ คงเป็นฉากตาย เพราะมันยากจริงๆ ทั้งเสียง ทั้งเครื่องบิน ทั้งยุง ทั้งแมลง แล้วก็ต้องถ่ายแบบต่อเนื่อง คือบางทีรู้สึกท้อเหมือนกันนะว่ากำลังจะดีแล้วเชียว อารมณ์กำลังได้ น้องริชชี่ส่งมาให้ดีแล้วเชียว ทำไมมันถึงอุปสรรคมากมายขนาดนี้ แต่พอผ่านมาได้ก็โอเคนะ

ฉากสะพานพุทธวันนั้นเป็นยังไงบ้าง

ฉากสะพานพุทธวันนั้น สิ่งที่ต้องเตรียมตัวเลย ก็คือต้องพยายามนอนให้เร็วที่สุด คือวันนั้นเรานัดกองถ่ายตีสอง ซึ่งทีมงานมาตั้งแต่เที่ยงคืน วันนั้นทุกอย่างมันต้องเป๊ะมากๆ เพราะต้องถ่ายแข่งกับเวลา แต่สนุกแล้วก็ลุ้นมากๆ ด้วย เพราะระเบิดอยู่ข้างๆ ตัวเลย อย่างผมอยู่กับริชชี่ ระเบิดจะอยู่ข้างๆ เราเลย เป็นวันที่สนุกมากๆ แล้วก็เป็นวันที่เราแฮปปี้กับริชชี่มากๆ เพราะน้องเล่นได้ดีมาก มันทำให้เรารู้สึกเลยว่าอืม...ของเขามาแล้ว (หัวเราะ) เป็นการปิดสะพานกันตั้งแต่ตีสองจนกระทั่ง 10 โมงเช้า

ประกบนางเอกใหม่
ความรู้สึกประทับใจที่มีต่อ "ริชชี่" เป็นอย่างไรบ้าง

ครั้งแรกที่เจอกัน รู้สึกเลยว่าน้องพูดน้อยไปมั้ย คือผมไม่เจอใครที่พูดน้อยขนาดนี้เลย นักแสดงทั้งหมดที่รู้จักกันมา หรือแม้แต่คนทั่วไปก็ตาม ไม่มีเคยมีใครที่พูดน้อยขนาดนี้เลย แม้กระทั่งผมถามว่า เป็นไงบ้างครับ สบายดีมั้ย เขาก็แค่พยักหน้า หรือแถมมาอีกคำว่า ค่ะ อืม...แค่นี้เราก็ดีใจแล้วนะ แต่น้องเป็นคนที่ตั้งใจทำงานมากๆ นะ มีความรับผิดชอบ และมีความพยายามสูง โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่น้องเป็นนักกีฬาด้วย ไม่เคยแสดงอะไรมาก่อนเลย การแสดงอะไรบ้าๆ ต่อหน้ากล้อง ต่อหน้าใครก็ไม่รู้เป็นสิบๆ คน มันคือความกล้าแสดงออก ไฟท์กับความอายมันคือเรื่องที่ยากที่สุด แต่น้องก็กำลังจะผ่านตรงนั้นไปแล้ว ตอนนี้คือการที่หัดพูดให้คล่อง เวลาตอบคำถามเวลาให้สัมภาษณ์ คือเราก็ช่วยๆ กันไป

ช่วยเล่าถึงฉากแต่งงานให้ฟังหน่อย

อลังการมาก มันใหญ่มาก เป็นฉากแต่งงานที่ต้องการบอกให้คนทั้งคนไทยและคนญี่ปุ่นได้รู้ถึงเรื่องของความสมานฉันท์ระหว่างประเทศ แต่ว่าฉากนั้นเป็นฉากที่นางเอกเศร้ามาก กดดันนางเอกมาก ถ่ายกลางแดดตั้งแต่ 10 โมงเช้า และมีคนเป็นลมด้วย

ฝากอะไรถึงแฟนๆ โกโบริ ในแบบของ ณเดชน์ หน่อย

อยากให้ลองไปดูกันนะว่า โกโบริในแบบฉบับของผม จะมีความวัยรุ่นและแปลกใหม่อย่างไร เส้นทางความรักของทั้งคู่จะลงเอยแบบไหน ทุกคนก็พอจะรู้อยู่แล้ว แต่ว่าอยากให้มาดูว่า ความรักและการดำเนินชีวิตคู่ของคนทั้งสองในมุมของพี่เรียวมันเป็นอย่างไร อยากให้ทุกคนได้ติดตามกัน

ชีวิตวงการบันเทิง
3 ปีที่อยู่วงการบันเทิงมาเป็นอย่างไงบ้างสำหรับผู้ชายที่ชื่อ "ณเดชน์"

3 ปีแล้ว ที่เข้ามาอยู่ในวงการ อาจดูเหมือนไม่นาน แต่จริงๆ แล้วก็นานเหมือนกัน มีอะไรหลายอย่างเกิดขึ้นกับชีวิตผมมากมาย ส่วนมากเรื่องที่เกิดขึ้นมาในชีวิตจะเป็นเรื่องดีๆ เป็นเรื่องที่เราไม่คิดว่าชีวิตเราจะได้รับสิ่งดีๆ จากสังคม มีคนรักมีคนชอบ ชีวิตช่วงนี้ไม่ใช่แค่ตัวผมเท่านั้นที่มีความสุข เพราะครอบครัวผมเองก็มีความสุขกับตรงนี้เหมือนกัน 3 ปีที่ผ่านมา มันทำให้เรารู้จักวงการบันเทิงมากขึ้น ตอนแรกที่เราเข้ามา เราไม่มีความกังวัล เราก้าวเข้ามาแบบที่เราไม่รู้อะไรเลย แต่ใน 3 ปีวงการได้เพิ่มรสชาติให้กับชีวิต ทำให้เราได้เรียนรู้หลายๆ อย่าง ทำให้มุมมองความคิดของเราเปลี่ยนไปตามเวลา เราโตขึ้นเรามองวงการต่างจากวันแรกที่เราเข้ามา มันเป็นเรื่องธรรมดา เพราะเรารู้จักมันมากขึ้น

ชินหรือยังที่ถูกคนจับตามองทุกฝีก้าว ไม่ว่าจะทำอะไร

เรียกว่าชินไหม เรียกแบบนั้นก็ได้ แต่สำหรับผมว่ามันเป็นธรรมชาติ เรามายืนตรงนี้ มาเป็นคนของประชาชน มีคนจับตามอง เด็กเยาวชนเอาเราเป็นแบบอย่าง เขาอยากที่จะสัมผัสว่าตัวจริงของเราเป็นยังไง อยากรู้ว่าจริงๆ แล้ว เราเป็นเหมือนภาพที่เขาคิดไว้หรือเปล่า ซึ่งมันเป็นเรื่องปกติธรรมดา เราเองเข้าใจตรงนี้ และมีความสุขกับสิ่งนี้ด้วย เพราะบางอาการของคนที่เขาเข้ามาเจอเรามีหลายแบบ บางคนตื่นเต้นมากที่เจอเรา บางคนก็ทำหน้าไม่ถูก มันเป็นอีกหนึ่งความสุขที่ได้เห็นภาพเหล่านี้

บุคลิกของ "ณเดชน์" ในเวลางาน กับบุคลิกของ "ณเดชน์" เวลาส่วนตัวแตกต่างกันแค่ไหน

ผมเองเป็นคนที่เรียกว่า มีสองบุคลิกเหมือนกัน อย่างแรกคือผมยังอายุแค่ 21 ปี เราก็มีความเป็นวัยรุ่นแบบของเราอยู่กับเพื่อน เราก็เล่นทะเล้นกับเพื่อนเหมือนปกติ แต่เวลาทำงานเราก็ต้องมีความรับผิดชอบ จะต้องวางตัวให้ดี เพราะงานที่เราทำมีคนที่เขาเป็นผู้ใหญ่มากกว่าเรา เราก็ต้องรู้จักสัมมาคารวะ ว่าต้องทำตัวยังไงให้เหมาะสม

เรื่องของการเรียนเป็นยังไง เพราะต้องเรียนไปด้วยและทำงานไปด้วย

ถือว่าดีนะ เราอาจจะมีเวลาไปเรียนไม่มากเท่ากับเพื่อนคนอื่นๆ แต่ผมเองยังไม่ทิ้งในเรื่องของการเรียน ตอนนี้ก็กำลังจะขึ้นปี 4 มหาวิทยาลัยรังสิต แรกๆ ยอมรับว่า รู้สึกไม่เข้าใจว่าทำไมเราต้องทำงานไปด้วยเรียนไปด้วย มันเหนื่อย แต่พอมาคิดว่าอาชีพในวงการ อาจจะไม่ได้เป็นอาชีพที่เป็นฐานหลักให้กับชีวิตเราได้ แต่ศาสตร์ที่เราเรียนมาทำให้เราสามารถมีอาชีพได้ เราเลยไม่อยากทิ้ง

เหนื่อยจนถึงขนาดที่ท้อจนอยากที่จะเลือกทางใดทางหนึ่งระหว่างเรียนกับทำงานเลยไหม

ยอมรับว่าเหนื่อย แต่ไม่ถึงขั้นท้อ อาจจะเคยท้อ แต่มีความคิดวูบหนึ่งที่ว่าเราลองทำมันให้ถึงที่สุดก่อนไหม ทำให้ดีที่สุดก่อน ถ้ามันไม่ได้จริงๆ ค่อยมาตัดสินใจ แต่ผมโชคดี ที่ผมมีกำลังใจจากคนข้างหลัง คือครอบครัวของผม และอนาคตคนที่จะมาเป็นภรรยา เป็นลูกของผม ว่าถ้าวันนี้ผมเหนื่อยท้อไป ปัจจุบันและอนาคตของคนที่อยู่ข้างหลังเขาจะเป็นยังไง

หัวใจว่างเปล่า
หัวใจสี่ห้องของพระเอกฮอตอย่าง "ณเดชน์" มีใครจับจองหรือยัง

บอกเลยว่าโสดจริงๆ ผมเป็นคนหนึ่งจะพูดว่ายังไงดีล่ะ เป็นคนในวงการคนหนึ่งที่การจะมีแฟนเป็นเรื่องยาก เพราะความที่เราเป็นณเดชน์ เรื่องเวลา เรื่องของการทำงาน และการเป็นคนของประชาชน เรื่องนี้จึงเป็นเรื่องที่ไม่ได้เกิดขึ้นได้ง่ายๆ ผมไม่ได้ปิดตัวเอง แต่เพราะวงการนี้ทำให้เราปิดตัวเอง ผมว่าการที่จะมีแฟนมันเป็นเรื่องของนักแสดงทุกคนไม่ใช่แค่ผม การที่จะมีใครสักคนมาถูกจับจ้องไปกับเรา มันไม่ใช่เรื่องที่ง่ายเลย

คนจะมองว่า "ณเดชน์" ต้องคู่กับ "ญาญ่า" อุรัสยา เสปอร์บันด์ เท่านั้น

คนก็จับตามองเราสองคนเยอะ มันเป็นเรื่องที่ดีนะ เพราะว่าด้วยเรื่องของงาน เราสองคนมีงานที่ต้องทำร่วมกันอยู่หลายงาน คนก็จะบอกว่าเราคือคู่จิ้นกัน ซึ่งสำหรับผมมันคือสิ่งที่ดีในเรื่องของการทำงาน แต่สถานะส่วนตัวเราสองคนเป็นพี่น้องกัน เรารู้สึกดีกับความรู้สึกตรงนี้ เราอยากที่จะรู้จักกันไปเรื่อยๆ แบบนี้ แบบที่เราคุยกันง่ายๆ ไม่ต้องมากังวลในเรื่องว่าความสัมพันธ์เราจะไปในทิศทางไหน

เขาแหล่ะ...ณเดชน์ คูกิมิยะ