Inside Dara
"โม" สาวยิ้มยาก...แต่ไม่มีพิษภัย

อันที่จริงน้อง ๆ นักแสดงหน้าใหม่เข้ามาในวงการมากมาย แต่น้อยคนนักที่จะมีผลงานโดดเด่นเตะตา ยิ่งในบทนางร้ายน้องใหม่ทำให้คนดูหมั่นไส้แล้วต้องยกให้สาว โม-มนชนก แสงฉายเพียงเพ็ญ จากละคร “แผนรักแผนร้าย” ที่กำลังเป็นที่จับตามองในฝีมือการแสดง งานนี้ ไม่รอช้าคว้าตัวมานั่งคุยสบาย ๆ ทั้งเรื่องงาน ชีวิตส่วนตัวที่แว่วมาว่าเป็นคนตรง ๆ บุคลิกแข็ง ๆ จนทำให้คนรอบข้างไม่ชอบหน้าตั้งแต่ครั้งแรกที่เจอ

จุดเริ่มต้นเข้าวงการจริง ๆ?

“เล่นหนังเรื่อง “เลิฟ จุลินทรีย์ รักมันใหญ่มาก” กับ เก้า-จิรายุ ค่ายเอ็ม 39 ทำให้คนรู้จักเรา ทุกวันนี้คนยังติดภาพหนังอยู่เลยว่าเราเล่นหนังกับเก้าแล้วโมก็มาเล่นมิวสิกวิดีโอ ผู้กำกับมิวสิกวิดีโอเลยให้เรามาแคสติ้งดูตอนอายุ 18 ปี เราไม่เคยฝันว่าจะอยู่วงการบันเทิงเลย เราอยากเป็นเชฟ อยากเรียนด้านอาหาร แต่สุดท้ายมาสอบติดมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ประสานมิตร เอกการแสดง เราเริ่มทำงานแล้วก็เรียนสายนี้ไปเลยจะได้เสริมกันได้ เราเรียนเอกละครเวทีมันเป็นพื้นฐานของการแสดงทุกอย่าง ถ้าคุณเก่งละครเวทีคุณเล่นได้ทุกอย่างจริง ๆ จากนั้นก็เซ็นสัญญากับเอ็กแซกท์ เรื่องแรกเล่น “ลิขิตฟ้า ชะตาดิน” โชคดีที่ผู้ใหญ่เอ็นดูให้เล่นละครเรื่องแรก แล้วก็มาเรื่อง “แผนรักแผนร้าย” แล้วถ่าย “มารกามเทพ” เป็นเรื่องที่สามค่ะ กับเรื่อง “แผนรักแผนร้าย” เราเป็นตัวร้าย ที่ตัดสินใจรับ เพราะเราอ่านบทน่าสนใจและดีมาก โมเล่นเลยไม่กลัวติดภาพอยากเป็นนางเอกตลอด เล่นแล้วก็ชอบ เพราะไม่ใช่ร้ายไร้เหตุผล แต่มันเป็นชีวิตจริงของมนุษย์ที่ไม่มีใครจะมีด้านบวกไปเสมอ แต่กระแสก็ดีนะคะไปไหนคนทักตลอดทำไมร้ายจัง (หัวเราะ) เราเป็นนักแสดงไม่ได้คิดมากเรื่องนั้นเลยค่ะ เล่นอะไรดีก็ดีกับตัว ตอนนี้กลับบ้านยังนั่งดูที่เราเล่นไปจะได้เห็นว่าบกพร่องตรงไหน ข้อบกพร่องเราพูดไม่ชัด มีปัญหาการพูด น.หนู ส.เสือ ไม่ชัด เพราะดัดฟัน เอาเหล็กออกแล้วแต่ไม่หาย แต่เล่นร้ายเราถือว่าเราสอบผ่านสำหรับกระแส ส่วนเรื่อง “มารกามเทพ” เล่นกับ พี่ป้อง–ณวัฒน์ ก็ถ่ายพร้อมกันเลย คาแรกเตอร์ “น้ำหนึ่ง” จะดีแสนดี เทิดทูนความรักยอมโดนกระทำแทนพ่อ ซึ่งเราต้องเล่นให้ดีให้คนเชื่อว่าเราเป็นคนดี แต่นิสัยพื้นฐานเราเป็นคนแข็ง ๆ เฉย ๆ ไม่หวาน พอต้องมาทำหวานเลยมันก็ยาก เพราะเราตาดุด้วยค่ะ”

อยู่วงการเรียนรู้อะไรบ้าง?

“โมอยู่ในวงการมา 3 ปีแล้วค่ะ เราได้เรียนรู้อย่างแรกต้องเป็นคนนอบน้อม ตรงต่อเวลา ซึ่งมันจะทำให้เราอยู่ได้โอเค จากเมื่อก่อนไม่ใช่เราไม่เคารพ แต่เราจำคนไม่ได้แล้วทำไมฉันต้องไหว้ทุกคนที่เจอ โมไม่คิดมากใครไม่ไหว้เราไม่สนใจ พอมาอยู่ในวงการเราต้องไหว้ไว้ก่อน โมจะโดนว่าเรื่องไม่ไหว้คน ไม่มีสัมมาคารวะ หยิ่ง แต่จริง ๆ เราไม่ได้คิดอะไรเป็นแค่เด็กธรรมดาคนหนึ่ง ตอนนี้โตขึ้นก็เข้าใจเหตุผลแล้ว”

ทางครอบครัวแนะนำอะไรมั้ย?

“ไม่นะคะ บ้านโมจะไม่คุยเรื่องงานกัน พ่อแม่ไม่เคยมาวุ่นวายชีวิตของเรา เพราะเชื่อใจว่าลูกทำอะไรน่ะ คิดดีแล้ว เขาเลี้ยงเราเหมือนเพื่อน แต่ไม่ปล่อย แค่ให้ล้มลุกคลุกคลานเอง ใช้ชีวิตอิสระจนโมกลายเป็นคนมั่นใจในตัวเองเกินไป เรารู้ตัวแต่อดไม่ได้ เพราะคือตัวเรา แต่โตขึ้นก็จะคิดได้เอง 3 ปีทำเราโตขึ้นมาก ตอนจะเข้าวงการพ่อไม่อยากให้ทำ วงการมันวุ่นวาย แล้วยิ่งเราเป็นคนแบบนี้เขากลัวคนจะเกลียดเรา(หัวเราะ) แต่เซ็นสัญญาไปแล้วไม่เล่นก็ไม่ได้ แต่ก็ชอบนะ อาจเกิดมาเพื่อสิ่งนี้ แต่ไม่รู้ตัวก็ได้ เราเป็นคนเต็มที่กับงาน ถ้าเราเล่นละครไม่ดีชีวิตก็ไม่มีอะไรแล้วนะ เพราะร้องเพลงหรือเต้นไม่ได้แล้วค่ะ”

ดูภายนอกจะเป็นคนดูเหวี่ยงตลอดและพูดจาตรง ๆ?

“ใช่เลยค่ะ เราเป็นคนพูดตรง ๆ ไม่จ๊ะจ๋า คนชอบก็จะรักเรามาก แต่ถ้าคนเกลียดเราก็จะเกลียดเลย เพื่อนแม่ที่ทำงานแม่ก็ไม่ชอบ (หัวเราะ) ครั้งแรกที่เห็นโมคนจะไม่ชอบโมแน่นอน ตอนแรกเรานอยส์นะที่คนมองแบบนั้น แต่หลัง ๆ ช่างมัน เราทำดีคนก็จะเห็นเอง เพราะบุคลิกเราเป็นแบบนี้ แต่มันเปลี่ยนยากนะคะ พยายามเปลี่ยนเบาลงแล้ว เราเป็นตัวเองดีที่สุดแล้วไม่ต้องพยายามทำให้คนอื่นรัก คนที่รักเราจริงจะรักที่เราเป็นเราไม่ใช่ที่เราพยายามจะเป็นคนดี ตอนแรกงงว่าทำไมถึงมีแฟนคลับรักเรา ทั้งที่เราเป็นคนแบบนี้ เราเป็นคนดูร้าย เคยมีคนบอกโมติสต์ แต่ไม่ใช่เลย ความติสต์คือข้ออ้างในการเอาแต่ใจตัวเอง เราจะถูกไม่ชอบแค่แวบแรกแต่ถ้าคุยก็จะเข้าใจเรา โมก็เป็นแบบนี้ไม่มีพิษภัย เพื่อนร่วมงานไม่เคยมีปัญหากันเลย เพราะโมเต็มที่ไม่เคยสาย งานเราเป๊ะเลยยังอยู่ได้สบาย ๆ”

เด็ก ๆ อยากเข้าวงการเยอะ ในฐานะรุ่นพี่บอกอะไรเด็กรุ่นใหม่มั้ย?

“ถ้าไม่ได้ชอบจริง ๆ อย่าทำเล่น ๆ สนุก ชีวิตจริงในวงการไม่ได้สนุกและสวยหรูอย่างที่ทุกคนคิด ต้องมีความรับผิดชอบและต้องแลกชีวิตส่วนตัวด้วย แต่ก่อนเราเคยโวยเหวี่ยงแฟนคลับเข้ามาถ่ายรูป แต่ทุกวันนี้เข้าใจแล้ว เพราะเขารักเราจริง ๆ เจอกันก็จะกอดเขา ไม่ได้เฟคนะคะ แต่เรารู้สึกจริง ๆ ถ้าไม่มีพวกเขาเราก็อยู่ไม่ได้ แม่ก็บอกโมโชคดีตั้งแต่เด็กที่เป็นที่รักและเอ็นดู มีคนสอนเราตลอดทั้งที่รู้เราดื้อ”

เด็กรุ่นใหม่เข้ามาเยอะกลัวถูกเบียดมั้ย?

“นิด ๆ ค่ะ แต่เราก็ท่องไว้ว่าจะพยายามพัฒนาตัวเอง เราไม่ใช่คนสวยเวอร์ที่สุดในโลกเรารู้ตัว แต่ส่วนที่วัดได้คือฝีมือด้านการแสดงกับการทำตัวให้ดี ผู้ใหญ่เองทั้งพี่บอย-ถกลเกียรติ และพี่ป้อน-นิพนธ์ ขอบคุณที่ให้โอกาสโมทั้งที่เราเป็นคนแบบนี้ พี่คงเห็นความตั้งใจทำงานของเรา ถึงเราไม่ได้เล่นเก่งขนาดนั้น แต่ถ้าตั้งใจทุกคนต้องเห็นค่ะ”

การเรียนล่ะทำงานด้วยเรียนด้วยจัดสรรเวลาได้มั้ย?

“ปี 3 จะขึ้นปี 4 แล้วค่ะ คณะศิลปกรรมเอกการแสดง มศว ก็มีผลเหมือนกันเรื่องเวลาเรียนแล้วก็ทำงาน แต่หนูบอกเลยว่าหนูต้องไปเรียน เทอมนี้ลงเรียน 7 วิชาครบตลอด เราดูเหมือนเป็นคนชิล แต่เรื่องเรียนซีเรียสมาก เทอมนี้เรียนครบ สอบครบ พ่อแม่ไม่เคยต้องห่วงเรื่องนี้เลย คิดว่าจบ 4 ปีแน่นอน เราวางแผนเรียนต่อโทด้วยมันเป็นความหวังของพ่อแม่ที่อยากให้เราเรียน เพราะที่ผ่านมาไม่เคยทำอะไรให้ในสิ่งที่เขาอยากให้ทำ พ่ออยากให้เรียนเภสัชฯไม่เรียน แม่อยากให้เรียนเมืองนอกไม่ไป ครั้งนี้เราโตแล้วก็อยากทำให้เขาค่ะ งานในวงการยังเป็นจุดเริ่มต้น ก็คงทำไปเรื่อย ๆ โมอยากเรียนต่อเป็นอาจารย์สอนการแสดงเหมือนกันแต่ไม่รู้จะทำได้ไหม”

มีท้อมั้ยอยู่ในวงการ?

“เลยจุดนั้นมาแล้วค่ะ ตอนนั้นท้อเรื่องความเป็นตัวเอง โมเคยคิดว่าเราผิดตรงไหนที่เป็นคนแบบนี้เราไม่เคยทำร้ายหรือด่าใครเลย แต่คนว่าเราผิด มาว่าในอินเทอร์เน็ตที่เราเป็นตัวเองมากไป มันบั่นทอนจิตใจนะคะ พอถูกคนพูดเรื่อย ๆ พ่อชอบเปิดดูแล้วบอกให้เราหัดยิ้มบ้าง ป๊าเคยไปส่งที่กองละคร แต่เราตื่นเช้าหน้าบูดง่วงนอน พ่อบีบแตรรถแล้วเอามือฉีกยิ้มโชว์เพื่อให้เรายิ้มเข้าไปในกอง ซึ่งตอนนี้เราก็ปรับปรุงตัวเองแล้วตอนนี้”

เรื่องความรักล่ะ?

“ความรักก็มีคนเข้ามา แต่ตั้งแต่เข้าวงการมามีข่าวกับ พอร์ช-ศรัณย์ นานที่สุดเลย โมเลยอยากบอกเน้น ๆ เลยว่าไม่ได้กิ๊กหรือคบกันไม่มีทางเป็นไปได้จริง ๆ ส่วนคนอื่นมีเข้ามา แต่มาจีบเราน้อยมาก ไม่ก็คิดว่าเรามีแฟนแล้ว เราดูน่ากลัว เคยมีคนคุยแล้วเขาก็ไป เพราะโมเอาแต่ใจ รักชีวิตอิสระ ซึ่งคนที่จะเข้ามาได้ต้องเป็นคนที่มีความอดทน รับโมในสิ่งที่เป็น โมชัดเจนว่าเป็นอย่างนี้ตั้งแต่แรกเห็น ไม่ใช่ว่ามองผ่าน ๆ แล้วชอบก็ไม่ค่อยรอด แต่ตอนนี้โสดสนิท เรื่องความรักโมปากแข็งไม่ใช่อยากปิด แต่การที่เราคบใครแล้วสุดท้ายมาเลิกมันเป็นเรื่องไม่โอเค โมเคยถามแม่ว่าถ้าโมมีแฟนจะว่ายังไง แม่ก็บอกว่าคบสัก 3 ปีค่อยมีแฟน (หัวเราะ)”

สุดท้ายอยากบอกอะไรกับแฟนคลับที่ติดตามผลงานเรา?

“อยากบอกว่าโมเป็นอย่างนี้ โมหน้าเหวี่ยงแต่ไม่มีพิษมีภัยกับใครนะคะ อยากให้ลองมารู้จักเราก่อน ทักทายได้เวลาเจอกัน ถ่ายรูปได้ ส่วนคนที่รักโมขอบคุณทุกคนที่ชื่นชอบผลงานแล้วก็ตัวโม ถ้าไม่มีพวกคุณโมก็คงอยู่ไม่ได้ ก็ฝากติดตามผลงานและให้กำลังใจไปเรื่อย ๆ ค่ะ”

นาน ๆ ทีเจอสาวมั่น พูดตรง จริงใจ แบบนี้ การพูดคุยกับสาวโมทำให้เราได้รู้จักความคิดและตัวตนอีกด้านของเธอ งานนี้ก็หวังว่าใครที่เคยไม่ชอบและตัดสินว่าเธอหยิ่งไม่น่ารัก ตั้งแต่แรกที่เจอจะเปลี่ยนใจมาหลงรักสาวมั่นคนนี้เพิ่มอีกคนแน่นอน.