Inside Dara
‘เอสเธอร์’งานลงตัวหัวใจลงล็อก

ถ้าเอ่ยถึงนางเอกที่กำลังกระแสแรงไม่เบาเวลานี้คงต้องยกให้สาวน้อยคนสวย “เอสเธอร์ สุปรีลีลา” เกือบ 1 ปี ที่หายจากละครไป หลังจากที่เธอเลือกเดินบนเส้นทางนักแสดงด้วยการไม่ต่อสัญญากับต้นสังกัดเดิมอย่างช่อง 3 เพื่อเดินหน้าพิสูจน์ฝีมือในฐานะนักแสดงอิสระ โดยที่กำลังมีผลงานละคร “เล่ห์รตี” ทางช่องวัน ของค่ายเอ็กแซ็กท์ ที่สร้างปรากฏการณ์คู่จิ้นให้แฟนคลับฟินสุด ๆ กับพระเอกหนุ่ม “ฌอห์ณ จินดาโชติ” งานนี้ “ดาวต่างมุม” เลยนัดสาวน้อยคนนี้มาพูดคุยถึงช่วงเปลี่ยนผ่านที่ยากลำบากครั้งนั้น ตลอดจนอัพเดทชีวิตในปัจจุบัน และความสัมพันธ์กับ “ฌอห์ณ” นั้นมีโอกาสมากน้อยแค่ไหนในฐานะคนรู้ใจติดตามกันเลยค่า

ผ่านไป 4 ปีกับการเป็นนักแสดงอิสระชีวิตเปลี่ยนแปลงมั้ย?

“สำหรับหนูไม่รู้สึกว่าเปลี่ยนไปมากนะคะ มันเปลี่ยนเรื่องการทำงาน มารับงานเอง มีผู้จัดการ ต้องจัดสรรเวลายิ่งขึ้น แต่เป็นแบบนี้หนูโอเคมาก เพราะเราได้จัดสรรงานที่เข้ามาเองว่าบทเป็นยังไง โอเคมั้ย มีการปรึกษากันระหว่างคุณแม่และผู้จัดการด้วย ไม่เหมือนตอนสมัยเรามีสังกัดที่ผู้ใหญ่ส่งบทให้ปุ๊บเราก็ต้องเล่นเลยประมาณนั้นค่ะ”

ช่วงก่อนเปลี่ยนแปลงไม่ต่อสัญญากับต้นสังกัดเดิมมันยากเหมือนกันสำหรับนักแสดงที่เพิ่งเริ่มต้น?

“ใช่ค่ะ ตอนนั้นเรายังอายุน้อย เข้ามาทำงานได้ 3 ปี พอสัญญาหมด ก็เป็นช่วงคิดว่าเราจะต่อสัญญาดีหรือไม่ต่อ หนูคิดนานเหมือนกันนะ สุดท้ายก็ลงตัวตรงไม่ต่อสัญญา บางคนจะมองว่าหนูพลาดโอกาสหรือเปล่า เรายังเด็กอยู่เลย ไม่แข็งแรงพอเท่าการมีสังกัด ที่จะมีงานป้อนมาเรื่อย ๆ แต่หนูถือว่าได้ลองดู ไม่รู้หรอกว่าอะไรจะเกิดขึ้น จะดีหรือไม่ดีในอนาคตแต่ ณ ตอนนี้เราโชคดีที่มีงาน มีละคร ผู้ใหญ่ส่งบทมาเพราะเห็นในความสามารถของเราจริง ๆ ค่ะ”

หลังจากกลับมาเป็นนักแสดงอิสระบทก็ถูกส่งมาให้เราพิจารณาเยอะมาก?

“ใช่ค่ะ (ยิ้ม) มีส่งมาหลายที่มาก ๆ จนมาตกลงเล่นเรื่องแรกในรอบหลายเดือนที่ห่างละครไปกับทางช่องวัน ค่ายเอ็กแซ็กท์ คือเรื่อง “เล่ห์รตี” ถ่ายตั้งแต่ปีที่แล้ว เพิ่งมาออนแอร์ปีนี้ เป็นละครรีเมค แต่พอจะเอามาทำเวอร์ชั่นใหม่เคสติ้งบทดูแล้วคาแรกเตอร์ได้ ตอนแรกหนูคิดว่านางเอกเป็นคนใส ๆ ที่ไหนได้อ่านบทไปดราม่าหนักมากใช้พลังเยอะเหมือนกัน เจอทีมงานใหม่ นักแสดงใหม่ที่เราไม่เคยร่วมงานด้วย เกร็งเหมือนกันค่ะ แต่ก่อนร่วมงานได้เวิร์กช็อปด้วยกัน ทำให้เราละลายพฤติกรรมพอคุ้นเคยอะไรก็สบายขึ้น เล่นก็เข้าขากันมากขึ้นด้วยค่ะ”

กระแสตอบรับจากละคร “เล่ห์รตี” โอเคมากนะ?

“ใช่ค่ะ ไม่คิดว่าจะดีมากขนาดนี้ เพราะเป็นช่องใหม่ด้วย แต่กระแสในโซเชียลทุกคนชมทีมหมด ทั้งผู้กำกับ ทีมเขียนบท ช่างภาพ รวมถึงนักแสดงทุกคน แฟน ๆ ชอบมาก เรากดดันนะ ไม่รู้ออกอากาศไปจะโอเคหรือเปล่า ไม่รู้จะทำออกมาดีขนาดไหน เราเพิ่งมาเล่นเต็ม ๆ เรื่องแรก แล้วบทก็ค่อนข้างหนัก แต่พอออกมาแล้วคนชื่นชอบ รู้สึกอินตามไปกับตัวละคร ดีใจมากที่คนเปิดรับผลงานเรามากขึ้น เชื่อว่าเราสามารถเล่นได้ทุกบท เพราะเราเงียบไม่มีผลงานละครมาเกือบปีเลย แล้วเรื่องนี้ถ่ายทำนานกว่าจะออกอากาศเลยเหมือนหายไปนานเหมือนกัน แต่คนชอบหนูหายเหนื่อยเลย เป็นแรงผลักดันให้เราทำงานตรงนี้ให้ดียิ่งขึ้น ๆ และพัฒนาตัวเองไปอีกค่ะ”

ช่วงหนึ่งปีพอไม่ต่อสัญญามาเป็นนักแสดงอิสระ เราดูแลตัวเองยังไง?

“ละครเดี๋ยวนี้จะเวิร์กช็อปนักแสดงก่อนค่ะ เราก็ต้องไปทำการบ้าน อ่านเรื่องย่อ วิเคราะห์ตัวละคร พอไปถึงเวิร์กช็อปแล้วจะได้รู้ว่าเราทำความเข้าใจบทของตัวละครมาอย่างถูกต้องมั้ย ตัวเราเองก็ย้อนกลับไปดูผลงานที่เราทำ เต็มที่กับมันที่สุด ไม่อยากให้ออกอากาศไปแล้วเสียใจที่มาดูทีหลังแล้วรู้สึกว่าเราสามารถทำได้ดีกว่านี้อีก เราเลยพยายามทำให้เต็มที่ทุกซีนจะได้ไม่ผิดหวัง”

การร่วมงานกับพระเอกใหม่อย่าง “ฌอห์ณ” เป็นยังไงบ้าง?

“ใช่ค่ะ ทุกอย่างใหม่หมดเลย พี่ฌอห์ณก็ใหม่เหมือนกัน เหมือนใหม่กับใหม่มาเจอกัน เราก็เกร็งไงเจอกันครั้งแรก (หัวเราะ) ไม่เคยเจอ แต่เคยติดตามผลงานเค้ามาบ้างว่าคนนี้เป็นใคร จนผ่านไปถ่ายทำคิวแรก ๆ ก็ ค่อย ๆ รับส่งอารมณ์กันมากขึ้น ก็เข้ากันได้ง่ายและราบรื่น”

จนกระทั่งมีกระแสคู่จิ้นมาเยอะเหมือนกัน?

“(หัวเราะ) ใช่ค่ะ หนูไม่คิดเลยนะ ไม่เคยคิดเลยจะมาแรงขนาดนี้ บางคนบอกว่าตอนที่เค้าชอบถ้าออกอากาศไปแล้วกลับไปเปิดดูซ้ำด้วยนะ เพราะเค้าชอบฉากกุ๊กกิ๊ก ดีใจที่มีส่วนทำให้คนมีความสุขกับงานของเรา เป็นอีกก้าวของชีวิตเรามีอะไรที่เปลี่ยนผ่านค่อนข้างไว เป็นอีกเรื่องที่เราไม่เคยเจอ จับกระแสคู่จิ้นไม่คิดว่าเราจะมีคนดูแล้วอินมากขนาดนี้”

ปีนี้เอสเธอร์อยู่วงการมากี่ปีแล้ว?

“ปีนี้ปีที่ 4 เกือบ 5 ปี แล้วค่ะ รู้สึกเราเริ่มโตขึ้นเรื่อย ๆ แล้วในเรื่องของการทำงาน อย่างการแสดงก็พัฒนาขึ้นเรื่อย ๆ จากวัน แรก ๆ ที่เราเล่นมา ตอนนั้นยังเด็ก พูดไม่ชัด เล่นแล้ว เกร็ง ๆ ตอนนี้ก็ค่อย ๆ ดีขึ้น ในส่วนของความโตขึ้น เป็นผู้ใหญ่ขึ้น แรก ๆ หนูขี้อายมากเลยค่ะ โดยเฉพาะตอนสัมภาษณ์ กลัวว่าจะโดนถามว่าอะไร ถามคำก็ตอบคำ (หัวเราะ) เจอคนก็ไม่กล้าคุยกับคนที่ไม่รู้จักมากเท่าไหร่ ตอนนี้ดีขึ้นแล้ว ในการทำงานต้องฝึกความเป็นมิตร มีมนุษยสัมพันธ์ที่ดี ตอนนี้สบายใจที่เจอทุก ๆ คน เป็นตัวของตัวเองด้วย”

ระเบียบวินัยในการทำงานล่ะเรียนรู้และต้องปรับตัวอะไรมากขึ้นมั้ย?

“เรื่องระเบียบวินัย เราต้องมีเพิ่มมากขึ้น ทำการบ้านหนักในเรื่องอารมณ์ และบท ทุ่มเวลาให้มากขึ้นเยอะ ความรับผิดชอบในการทำงาน ความตรงต่อเวลา ไปมาลาไหว้ผู้ใหญ่ รุ่นพี่ในกองก็ยังคงสม่ำเสมอในเรื่องนี้อยู่ค่ะ”

สมัยเข้ามาวงการแรก ๆ ไม่มีข่าวไม่ดี แต่ก็มีข่าวเล็ก ๆ น้อย ๆ มาทดสอบเราเหมือนกัน?

“ใช่ค่ะ มีข่าวเล็ก ๆ น้อย ๆ ถึงไม่หนักมากแต่เราก็เครียดเหมือนกัน เราไม่เคยเจอข่าวทำนองนี้ เจอคนถามเราไม่รู้จะตอบยังไง แต่พอปรึกษาคุณแม่ คุณแม่ก็บอกตลอดเป็นเรื่องธรรมดาเราไม่สามารถห้ามทุกคนไม่ให้พูดถึงเราได้ แต่เรารู้ตัวว่าเราทำแบบนั้นจริงมั้ย หรือเรื่องจริงคืออะไร พยายามฟังหูไว้หู เปิดใจมาก ๆ ไม่ต้องเดือดร้อนกับมันมาก ไม่งั้นเราจะเครียดเปล่า ๆ”

เราเลือกก้าวเดินออกมาดูคิดยากนะ?

“ช่วงไม่ต่อสัญญาเป็นช่วงที่หนูกดดัน ตอนแรกไม่เครียดนะ แต่พอโดนสัมภาษณ์ ยังเด็ก วุฒิภาวะเรายังไม่โตขนาดนั้น เลยมีบ้างที่รู้สึกว่างง ๆ ไม่รู้จะตอบยังไงดี เพราะแต่ละคนก็มีความคิดเห็นไม่เหมือนกัน แฟน ๆ บางคนไม่อยากให้เราย้าย อยากดูละคร แต่พอเราเป็นนักแสดงอิสระ เราก็พิสูจน์ให้เห็นว่า เอสเธอร์ทำอะไรได้หลากหลาย และยังได้รับโอกาสในฐานะนักแสดงอิสระยิ่งรู้สึกขอบคุณทุก ๆ โอกาสจริง ๆ เราก็สัญญาจะทำงานออกมาให้ดีที่สุดค่ะ”

จบจากเล่ห์รตีแล้วมีเรื่องอะไรต่อไปอีก?

“มีซีรีส์ “รักนะเป็ดโง่” ยังไม่ได้เปิดกล้องค่ะ เพราะพาร์ตหนูเป็นพาร์ตสุดท้าย แต่เล่นคู่พี่ฌอห์ณอีกแล้ว เรื่องเกี่ยวกับผู้ชายจะมาอยู่ในบ้าน 3 คน เพราะแม่คิดว่าเราเป็นเลสเบี้ยน แต่เป็นซีรีส์วัยรุ่น เลยจะแฟนตาซีฝัน ๆ หน่อย ๆ แล้วก็เพิ่งปิดกล้องละคร “เจ้าสาวของอานนท์” ไปของช่องพีพีทีวี แล้วก็ถ่ายซีรีส์ที่ได้ลิขสิทธิ์จากฝรั่งเรื่อง “ดิ โอ.ซี.” อยู่ค่ะ รับบทเป็น “ซัมเมอร์” เป็นแนวสืบสวนสอบสวน ต้องศึกษาคาแรกเตอร์เยอะเหมือนกันสนุกมากค่ะ ถือว่าผู้ใหญ่ให้โอกาส หนูต้องขอบคุณพี่ ๆ ทุกคนที่ตัดสินใจเลือกหนูในการแสดง”

มองตัวเองเป็นนักแสดงเต็มตัวหรือยัง?

“ตอนแรกอาจจะไม่รู้สึกมากขนาดนั้น ไม่รู้เราจะเป็นได้นานแค่ไหน แต่พอทำได้แล้ว เราหลงรักการแสดง และชอบที่จะเป็นนักแสดง ทำแล้วเรามีความสุขจริง ๆ พอไม่ได้เล่นละครช่วงที่ชีวิตเปลี่ยนผ่านก็รู้สึกคิดถึงมาก ๆ เลยค่ะ ถึงแม้ทุกวันนี้มีคลื่นลูกใหม่เข้ามาเยอะ แต่เราไม่ได้ไปเทียบหรือกดดันอะไร เพราะขึ้นอยู่กับตัวเราเองทั้งนั้น ทำหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายให้ดีก็พอแล้ว มันคงไปได้เรื่อย ๆ เพราะเราแข่งกับตัวเองมากกว่าค่ะ”

ระยะเวลาที่อยู่ในวงการบันเทิงเราเรียนรู้อะไรบ้าง?

“เราโตขึ้น คิดอะไรหลายด้านมากขึ้น ไม่ได้คิดแค่มุมมองของตัวเอง สิ่งที่เราทำไปส่งผลต่อคนรอบข้างยังไงบ้าง แต่ก็ยังมีเรื่องบางเรื่องที่เรายังไม่รอบคอบพอ แต่หนูก็มีคำปรึกษาที่ดีจากครอบครัวและผู้จัดการ ทำให้โตขึ้นและเรียนรู้ไปเรื่อย ๆ ส่วนเรื่องที่ต้องระมัดระวังก็ยังมี การวางตัว ดูแลตัวเองให้ดี สมัยนี้โซเชียลก็มีบทบาทสำหรับทุกคน จะลงจะพิมพ์อะไรก็ต้องระวังคิดเยอะ ๆ ก่อน”

การเรียนล่ะตอนนี้เป็นยังไงบ้าง?

“ตอนแรกหนูเรียนสื่อสารแบรนด์ ที่มหาวิทยาลัยกรุงเทพ ปี 3 แต่ช่วงนั้นทำงานเยอะ จัดการระบบเวลาไม่ดี เลยดร็อปไว้ จากนั้นพี่ที่สนิทแนะนำว่าที่มหาวิทยาลัยกรุงเทพธนบุรี มีทุนการศึกษา เราก็โอเคย้ายโอนหน่วยกิตไปเรียนบริหารการจัดการที่นั่น ตอนนี้ชั้นปีที่ 4 แล้วค่ะ ไม่ต้องเก็บรายวิชาเยอะ มีแต่รายงานและสอบ ที่เลือกสายบริหารธุรกิจ เพราะในอนาคตถ้าเราอยากทำธุรกิจก็สามารถเอาวิชาที่เรียนมาประยุกต์ได้”

ข่าวคราวความรักก็มีกับ “ฌอห์ณ” ซึ่งคนจิ้นเราสองคนเป็นแฟนมาก ๆ?

“ใช่ค่ะ กระแสคู่จิ้นมาแรงมาก เราไม่ได้มีเวลาไปทุ่มเรื่องความรักมากเท่าไหร่ เอสเธอร์มองว่าตัวเองยังเด็กยังไม่สามารถรับผิดชอบอะไรควบคู่กันไปหลายอย่างได้ ยังต้องรับผิดชอบทั้งเรื่องเรียน และทำงานในฐานะนักแสดง เรื่องความรักสำหรับหนูตอนนี้เลยมองเป็นเรื่องที่รองลงมานะ อนาคตจะเป็นยังไงเราก็ไม่รู้ กับพี่ “ฌอห์ณ” เค้าน่ารักในการทำงานมาก ช่วยกันตลอด แต่เราก็จะมีคุยกันในเรื่องของงานซะเป็นส่วนใหญ่”

แต่เวลา “ฌอห์ณ” ให้สัมภาษณ์จะบอกตลอดว่าค่อนข้างปลื้ม ๆ เรา?

“อ๋อ ก็ทราบนะคะ(ยิ้ม) เราทำงานกันมานาน เลยมีความคุ้นเคยผูกพัน สนิทจากการทำงาน อะไรที่ช่วยกันได้ก็ช่วยกัน มีนักแสดงคน อื่น ๆ ด้วยนะ เราไม่ได้ปิดเรื่องความรัก แต่อยู่ที่เราจะโฟกัสเรื่องไหนก่อนมากกว่าด้วยช่วงอายุตอนนี้เลยโฟกัสการทำงานก่อนค่ะ

กระแสต่าง ๆ ทำให้มองว่าเราศึกษาดูใจกันอยู่?

“เราดูแลกันเป็นพี่เป็นน้องใช้คำนี้ดีกว่าค่ะ เพราะทำงานด้วยกันมาหลายเดือน ความสนิทก็มี เราก็เก็บความสัมพันธ์นี้เอาไว้ เพราะเราต้องทำงานร่วมกันอีก มีบ้างที่เราคุยกัน ถามไถ่สารทุกข์สุกดิบ อะไรช่วยกันได้ก็ช่วย เขาไม่ได้จีบ แต่พี่เค้าเป็นคนเฟรนลี่ ก็เอ็นดูหนูเหมือนน้อง กลายเป็นพี่ชายคนหนึ่ง เป็นคนหนึ่งที่คุยได้ทุกเรื่อง มีปัญหาอะไรให้คำปรึกษาที่ดี”

อย่าง “ฌอห์ณ” เรียกว่าเป็นเพื่อนร่วมงาน พี่ชาย หรือคนพิเศษ?

“(หัวเราะ) เอาเป็นว่าเราทำงานด้วยกันเราเลยสนิทกัน คุยได้ เราก็เก็บความสัมพันธ์ที่ดีแบบนี้ไว้ แต่อนาคตจะเป็นยังไงไม่มีใครรู้ค่ะ ขอบคุณทุกคนที่เชียร์เราสองคนนะคะ (หัวเราะ) แต่ก็อยากให้ดูที่ผลงานด้วยเนอะ”

“ฌอห์ณ” ใช่สเปกเรามั้ย?

“ไม่มีสเปกนะ แค่รู้สึกว่าคุยแล้วเข้ากันได้มากขนาดไหนมากกว่า ขอให้เป็นคนดี ให้เกียรติเราก็พอแล้ว แต่อนาคตไม่รู้จะยังไง ถ้าคุยกันแล้วสปาร์คได้(หัวเราะ) เราต้องดูไปเรื่อย ๆ ค่ะ ต่างคนต่างโฟกัสให้งานก่อนเนอะ เป็นแบบพี่น้อง ดูแลกัน สนิทกันก็โอเคแล้ว แต่ถามว่าเป็นพี่ที่สนิทที่สุดมั้ย ณ ตอนนี้ก็ใช่ค่ะ เพราะเราทำงานด้วยกันมาเกือบปี เจอกันตลอด ประทับใจที่เค้าเป็นคนใส่ใจรายละเอียด เป็นผู้ชายที่ค่อนข้างละเอียดอ่อน ใส่ใจทุกคนถามไถ่ตลอดเป็นคนน่ารักมาก จะเป็นยังไงอนาคตต้องรอดูต่อไปค่ะ”

คนอื่น ๆ มีเข้ามาจีบมั้ย?

“ไม่มีเลยค่ะ (หัวเราะ) หนูอยู่แต่กับคุณแม่ไปไหนด้วยกันตลอด มีเพื่อนผู้ชายก็เป็นเพื่อนมหาวิทยาลัย ทำงานอย่างเดียวค่ะ”

สุดท้ายฝากอะไรถึงแฟน ๆ ที่ติดตามผลงานเรามาตลอดบ้าง?

“อยากขอบคุณแฟน ๆ ทุกคนที่ติดตามละครของเอสเธอร์นะคะ ขอบคุณที่คอมเมนต์ทั้งดีและไม่ดีเนอะ ยังไงหนูก็จะเอาไปปรับปรุงพัฒนาฝีมือตัวเอง ยังไงก็ฝากให้กำลังใจทุก ๆ ผลงานที่เอสเธอร์ทำด้วยนะคะ ขอบคุณทุกคนมากค่ะ (ยิ้ม)”

เรียกว่าอนาคตในวงการยังอีกยาวไกลจริง ๆ สำหรับ “เอสเธอร์” ส่วนความรักและโอกาสพัฒนาความสัมพันธ์กับ “ฌอห์ณ” ก็มีแนวโน้มที่ดีน่าลุ้น แฟน ๆ ติดตามให้กำลังใจทั้งเรื่องงานและเรื่องหัวใจของทั้งคู่ต่อไปด้วยนะคะ.