Inside Dara
‘เปา’ เหนื่อยแต่ภูมิใจ ในบทบาทหัวหน้าครอบครัว

เป็นอีกหนึ่งสาวที่มีเอกลักษณ์ชัดเจนว่าเป็นคนลูกทุ่ง สำหรับ เปา-เปาวลี พรพิมล ที่ล่าสุดเจ้าตัวได้มานั่งเปิดใจพูดคุยกับ “ดาวต่างมุม” แบบสบาย ๆ ทั้งเรื่องเส้นทางชีวิตและความรัก ที่บอกเลยว่าได้คุยกับเธอแล้ว สัมผัสได้ถึงความจริงใจ และที่สำคัญยังได้ข้อคิดดี ๆ จากเธอเพียบด้วย

ละคร “ลิเก๊ ลิเก” ที่เรารับบทเป็น “จอมนาง” ฟีดแบ็กเป็นยังไงบ้าง?

“ลิเก๊ ลิเก” เป็นละครที่เหมือนเราได้สืบสานวัฒนธรรมด้วย ฟีดแบ็ก ก็ดีมาก ๆ เลยค่ะ ลิเกที่เราเล่นในเรื่องนี้เป็นลิเกทรงเครื่อง ซึ่งสมัยนี้หาดูได้ยาก เพราะปัจจุบันส่วนใหญ่เป็นลิเกประยุกต์ จริง ๆ เรื่องร้องและรำลิเกเปาไม่เคยทำมาก่อนเลย ตอนที่ไปเรียนลิเกกับครู สกุณา รุ่งเรือง ซึ่งเป็นนางเอกลิเกเก่า ท่านก็บอกว่าให้ลบความเป็นลูกทุ่ง เหมือนเราต้องเริ่มจากศูนย์ใหม่ การเอื้อนไม่เหมือนร้องลูกทุ่ง สำหรับเรื่องนี้เปาได้เข้าถึงวัฒนธรรมการเป็นลิเกจริง ๆ ได้รู้ทั้งเบื้องหน้าและเบื้องหลังของลิเก เวลาเราไปเจอแฟน ๆ ชอบบอกให้เราร้องลิเกให้ฟังบ้าง ซึ่งเราก็รู้สึกภูมิใจค่ะ”

ถามถึงผลงานเพลงบ้าง?

“ตอนนี้มีอัลบั้มชุดที่ 2 “ในความรู้สึกของเธอ” ซึ่งมีเพลงที่ใช้ประกอบละคร “ลิเก๊ ลิเก” ด้วย อัลบั้มนี้ยังคงคอนเซปต์ลูกทุ่งป๊อป ที่ทำให้เข้าถึงคนรุ่นใหม่ แต่ยังคงมีกลิ่นอายความเป็นลูกทุ่งอยู่ และจะเห็นเปาเต้นมากขึ้นด้วยค่ะ”

การแสดงกับร้องเพลง มีความยากง่ายแตกต่างกันยังไง?

“เราถนัดร้องเพลงมากที่สุด เพราะร้องมาตั้งแต่เด็ก ๆ ส่วนการแสดงมันเป็นสิ่งใหม่ที่เข้ามาในชีวิต ซึ่งผู้ใหญ่ให้โอกาสและเราพอจะทำได้ มันเลยทำให้เรามีลูกฮึดที่ว่าผู้ใหญ่ให้โอกาสมาแล้วก็ต้องพยายาม แม้ว่าเรื่องแรกหรือเรื่องที่สองและสามอาจจะมีข้อผิดพลาดบ้าง เราก็เก็บตรงนั้นกลับไปพัฒนาต่อไป และอยากทำไปเรื่อย ๆ ค่ะ”

เปาแจ้งเกิดด้วยบทของนักร้องลูกทุ่ง เลยทำให้ติดภาพลูกทุ่ง คิดว่ามันเป็นข้อจำกัดการรับบทบาทเรามั้ย?

“หนูว่ามันเป็นโอกาสที่ดีนะคะ ที่แฟน ๆ จำเราได้จากภาพยนตร์ “พุ่มพวง” ซึ่งทำให้คนรู้จักเราเป็นลูกทุ่ง แต่เราก็เป็นลูกทุ่งยุคใหม่ที่สามารถแปลงไปทางไหนก็ได้ พอเราได้มีโอกาสทำงานแสดง งานถ่ายแบบหรืออะไรก็ตาม แฟน ๆ ก็จะได้เห็นอีกบทบาทหนึ่งที่เราก็ได้ทำ ได้เห็นความหลากหลาย แต่ถึงยังไงเราก็ไม่ลืมความเป็นลูกทุ่ง คือเราชัดเจนมาตั้งแต่เด็ก ๆ ว่าเราเป็นคนบ้านนอกและลูกทุ่งก็ฝังอยู่ในตัวเราแล้ว ซึ่งเราก็ภูมิใจมากค่ะ”

เข้าวงการบันเทิงมา 4 ปีคิดว่าได้อะไรมากที่สุด?

“ให้หลายอย่างมากค่ะ ทั้งความเป็นตัวเปาเอง ให้ชีวิตใหม่ ให้มีอาชีพ เพราะตอนเด็ก ๆ เรามีความฝันที่อยากจะเป็นนักร้อง แต่ไม่รู้ว่ามันต้องทำอะไรบ้าง เราก็ได้แต่เรียนเสร็จแล้วก็ร้องเพลงเล่นไปวัน ๆ พอเราได้เข้ามาทำตรงนี้ เหมือนเราต้องกำหนดตารางชีวิตตัวเอง ก็ทำให้เราตรงต่อเวลา เรื่องเวลาสำคัญที่สุดในการทำงาน ทำให้เราโตขึ้นด้วย หลายคนอาจมองว่าเราโตเกินวัยในการทำงาน แต่เมื่อเสร็จงานแล้วเราก็เป็นเด็กปกติ คือตอนเราทำงานก็รู้สึกว่างานที่เราทำเป็นสิ่งที่เรารัก มันเลยเหมือนเราต้องจริงจังไปเอง อย่างตอนที่เรายังไม่ขึ้นเวที เราก็คุยเล่นปกติ แต่พอขึ้นบนเวทีแล้วก็ต้องจริงจัง เพราะมันคือคอนเสิร์ตของเรา เราต้องทำให้คนดูมีความสุขกับโชว์ค่ะ”

เปาเป็นอีกคนที่ไม่มีข่าวฉาวในวงการ มีวิธีวางตัวยังไง?

“หนูเป็นคนปกติที่มีอาชีพนักร้องนักแสดง นอกจากนั้นเราก็เป็นลูกของพ่อแม่ เป็นน้องของพี่ชาย เราดูแค่อันไหนสมควรหรือไม่ควรทำ คือเราไปที่ไหนก็มีคุณแม่คอยบอกอยู่แล้ว ถือว่าเรามาตามกรอบของท่าน สำหรับเป้าหมายในวงการของเปา ตอนนี้เปาคิดว่าตัวเองประสบความสำเร็จแล้วในการได้เป็นนักร้องลูกทุ่ง มันเกินความฝันด้วยซ้ำที่ได้ทำงานที่หลากหลาย ตอนแรกเราไม่คิดว่ามีงานแสดง เคยคิดว่าจะทำได้รึเปล่า แต่พอได้ทำแล้วก็รู้สึกว่าทุกอย่างสามารถทำได้ เพียงแค่เรากล้า เราอาจจะไม่ดังเปรี้ยงปร้าง แต่เราก็มีจุดของเรา ส่วนตอนนี้วงการลูกทุ่งมีนักร้องใหม่เกิดขึ้นมากมาย เรารู้สึกดีใจนะที่เห็นคนรักเพลงลูกทุ่ง อย่างน้อง ๆ ที่เรารู้จักอยากจะเป็นนักร้อง เราก็บอกกับน้องได้แค่ว่าให้อดทน เพราะเราเองก็ประกวดมาหลายปีมาก มันขึ้นอยู่กับความอดทนประกอบกับโชคด้วย วงการนี้เราเป็นตัวของตัวเอง ไม่ต้องไปแข่งกับใคร เพราะแต่ละคนก็มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวอยู่แล้วค่ะ”

สิ่งที่ภูมิใจที่สุดในชีวิต?

“การที่ได้เป็นนักร้องลูกทุ่งค่ะ เพราะเรามาได้จนถึงทุกวันนี้ มันเป็นความภาคภูมิใจของพ่อแม่ด้วย คือตั้งแต่เด็กพ่อแม่เปาเป็นคนที่อยู่เบื้องหลังทุกอย่าง เป็นครูสอนร้องเพลง เวลาไปงานประกวดต่าง ๆ เราก็จะไปกัน 4 คน คือพ่อ แม่ เปาและพี่ชาย ซึ่งตอนที่เรายังไม่ได้เป็นนักร้องเราอดทนกันมามาก เราต้องตามหาความฝัน ซึ่งการเป็นนักร้องมันไม่ใช่ความฝันของเปาคนเดียว มันเป็นความฝันของครอบครัวด้วย เวลาที่เราไปประกวดบางที่เปาก็ตกรอบแรก แต่พ่อก็บอกว่าประกวดไปเถอะ แม้ว่าบางทีมันไม่ได้เงิน หรือต้องควักเงินตัวเอง แต่มันก็เป็นการหาประสบการณ์ค่ะ”

กว่าจะเป็นวันนี้เหมือนมีอุปสรรคมาเยอะ เคยมีช่วงท้อมั้ย?

“มีเป็นช่วง ๆ ค่ะคือช่วงที่เราเรียน ม.6 วันที่เราต้องสอบโอเน็ตเอเน็ต มันตรงกับวันที่เราต้องไปประกวดรอบชิงชนะเลิศรายการ “คว้าไมค์คว้าแชมป์” พอดี ซึ่งการประกวดต้องเดินทางไปที่กรุงเทพฯ ส่วนสอบที่ จ.สุพรรณฯ และเราทำทั้ง 2 อย่างในวันนั้นไม่ทันแน่ ๆ ตรงนี้ทำให้เราคิดหนัก ตอนนั้นก็นอนคิดไปร้องไห้ไป สรุปว่าเราเลือกตามที่แม่บอกคือไปประกวด เพราะมันเป็นการประกวดรอบสุดท้าย และเป็นเวทีที่ใกล้ความฝันเรามากที่สุด คือแม่บอกว่าเรียนที่ไหนก็ได้ มีมหาวิทยาลัยเปิดอีกมากมายที่รับคนทำงานไปด้วยเรียนไปด้วย เราเองก็ไม่รู้อนาคตหรอกว่าจะได้เป็นนักร้องรึเปล่า เราแค่ทำในสิ่งที่ใกล้เข้ามา ซึ่งผลตัดสินวันนั้นต้องบอกว่าเฉียดมากเลย (ยิ้ม) เพราะวันนั้นเราต้องขึ้นโชว์ 2 เพลงคือเพลงช้าและเพลงเร็ว เราเองก็เครียดจากการที่เราต้องตัดสินใจ เลยทำให้ต่อมทอนซิลเราอักเสบ คอเป็นหนอง เสียงเหมือนเป็ดเลย ขึ้นไปร้องเพลงช้าเราก็รู้ว่าตัวเองไม่รอดแน่นอน พอร้องเสร็จเราก็มานั่งตักแม่ที่นั่งรอด้านล่างเวที และบอกว่าถ้าไม่ได้ก็ไม่เป็นไรเนอะ คือถอดใจแล้วค่ะ แม่ก็ให้กำลังใจว่าไม่เป็นไร ยังเหลือเพลงเร็วอีก คือเสียงเราไม่ได้อยู่แล้ว เราเลยเอาลีลาเข้าสู้ ก็เต้นหลุด ๆ ให้สนุกไปเลย สรุปว่าวันนั้นหนูได้แชมป์ ชนะคนที่ได้ที่ 2 ประมาณ 0.5 คะแนนเอง ก็คุ้มนะที่เลือกไปวันนั้น คือเราต้องใช้แรงใจมากกว่าความสามารถ สำหรับเรื่องกำลังใจในวันนั้นไม่ใช่เฉพาะแม่นะคะ ต้องขอบคุณทุกคนเลย และชาวตลาดด่านช้าง ที่ จ.สุพรรณฯ ก็มาเชียร์กันหมด เขาเหมารถทัวร์มาเพื่อเชียร์เรา น้ำตาจะไหลเลยค่ะ”

ความฝันสูงสุดคืออะไร?

“ความฝันสูงสุดที่เปาตั้งเอาไว้ตั้งแต่ยังไม่เข้าวงการ คือครอบครัวเราไม่รวย พออยู่ได้ พ่อและแม่เปาขายเสื้อผ้าที่ตลาดนัด ซึ่งเราเห็นความยากลำบากของท่าน บางครั้งพายุเข้าก็ขายไม่ได้เลย เห็นท่านแอบไปร้องไห้กันสองคนไม่ให้เราเห็น แต่เราก็รู้แหละ เงินมันหายาก ก็ใฝ่ฝันมาแต่เด็กแล้วว่าถ้าเราเป็นนักร้องก็คงจะดี เราจะให้พ่อแม่หยุดทำงาน ไม่ต้องไปขนของตามตลาดนัดกลางแดดแบบนั้น ก็เลยทำให้เรามีลูกฮึดว่าเราต้องเป็นนักร้องให้ได้ เพราะทำแต่ละอย่างก็มีความเหนื่อยหมด แต่เรื่องนี้เป็นความเหนื่อยที่เราภูมิใจค่ะ ถึงแม้ว่าตอนนี้เราเป็นหัวหน้าครอบครัว รายได้มาจากเราทางเดียว เพราะเราให้พ่อแม่ได้พักแล้ว แต่มันก็เหมือนเราทำตามความฝันให้ตัวเองได้แล้ว ตอนนี้เราก็เลี้ยงพ่อแม่ค่ะ สำหรับทุกสิ่งทุกอย่างของหนูคือครอบครัวสำคัญที่สุด ตอนนี้เรามาอยู่กรุงเทพฯ ทั้ง 4 คน ไปไหนก็เป็นอุตสาหกรรมครอบครัว แต่เราไม่ได้รู้สึกอึดอัด เพราะพ่อแม่ไม่ได้มาตามเราทุกฝีก้าว ท่านเลี้ยงหนูมาอย่างถูกทาง คือตอนเด็กให้เราเดินมาตามทางที่แม่วางไว้ พอโตแล้วแม่ก็เข้าใจว่าเราเป็นวัยรุ่น เราต้องการเพื่อนบ้าง ก็ปล่อยในบางครั้ง อันไหนไม่ดีก็สอนค่ะ”

โตแล้วก็ต้องมีเรื่องหัวใจ ตอนนี้เป็นยังไงบ้าง?

“ก็มีคนมาคุยบ้างเป็นปกติค่ะ (ยิ้ม) เราคุยกันมาเรื่อย ๆ สัก 3 ปีแล้ว เป็นคนนอกวงการ จริง ๆ สำหรับคนที่คุยกัน เราไม่ได้ปิดกั้นอยู่แล้วค่ะ เราคิดว่าการที่เรามีความรัก มีใครไว้คุยก็เป็นเรื่องที่ดี ทำให้เราชื่นใจ แต่ทั้งนี้มันก็ขึ้นอยู่กับอนาคต จะมาตั้งสถานะในตอนนี้ไม่ได้ ปล่อยให้ไปเรื่อย ๆ ไม่ได้มีคำเรียกว่าแฟน ซึ่งเขาน่าจะเข้าใจนะคะ ตอนนี้เราทำงานและสนุกกับงาน และเราก็ยังเป็นวัยรุ่นคนหนึ่งที่ต้องการหลายอย่างที่เข้ามา แม่ก็สอนตลอดว่าถ้าวันนึงที่เราโตพอ ความรักก็เป็นเรื่องปกติ รักได้คุยกันได้ แต่ต้องให้เวลาพาไป ตอนนี้ยังเด็กอยู่ก็เฮฮาไปก่อน ถ้าอนาคตเรายังคุยกับคนเดิมค่อยว่ากันใหม่ เรื่องหัวใจที่บ้านไม่ค่อยหวงเท่าไหร่ และเราก็คุยกันได้ทุกเรื่องค่ะ”

หนุ่มคนนี้คุณพ่อคุณแม่โอเคมั้ย?

“ก็โอเคนะ เขาก็เป็นคนน่ารัก เหมือนเพื่อน ๆ ให้กำลังใจกัน สำหรับเรื่องความรักเปาปล่อยให้มันเป็นไปตามสเต็ป ตอนนี้เปาอายุ 22 ปี ก็เชื่อว่าคนที่อายุเท่าเราเขาก็มีความรักที่หลากหลาย แต่เราทำงานไปด้วยก็อาจจะมองอีกมุมนึง เรามองในมุมของคนทำงานที่มีตารางชีวิตเป็นของตัวเอง คือตอนนี้งานยังเยอะ ขอทำงานไปเรื่อย ๆ ก่อน อนาคตอายุใกล้เลข 3 ค่อยมามองกันอีกทีว่าใช่คนนี้รึเปล่าค่ะ”

หนุ่มคนนี้มีอะไรที่ชนะใจ ทำให้เปาเลือกคุยด้วย?

“เราเป็นคนที่ทำงานทุกวัน ก็เหนื่อยบ้าง เราก็อยากได้คนที่คุยได้หลายเรื่อง เหมือนเป็นคนที่แบ่งปันหัวสมอง เราอยากเล่าอะไรก็เล่าได้ เป็นคนที่รับฟังเราทุกอย่างค่ะ”

จริง ๆ เปาเป็นคนโรแมนติกมั้ย?

“เป็นคนเสี่ยว (หัวเราะ) ก็เฮฮาทั่วไปค่ะ แต่สำหรับเรื่องความรักเราก็จริงจัง แต่ก็ไม่ได้ไปจำกัดเร่งรัดมัน ปล่อยให้เป็นธรรมชาติ คือเรามาตามที่พ่อแม่สอนตลอด การดูคนก็ต้องดูให้นาน ๆ ไม่ใช่รีบร้อนจับจอง เราจะดูที่ข้างในกันมากกว่า และเรื่องแบบนี้เราต้องปล่อยให้เป็นไปตามอายุจริง ๆ ในตอนเด็กเราคิดว่าไม่อยากมีแฟนเลย แต่พอเราโตขึ้น เราได้เห็นคนที่หลากหลาย และหากใครที่เข้ามาคุยแล้วเรารู้สึกโอเค เราก็อยากคุยต่อไปค่ะ”

สุดท้ายอยากฝากบอกอะไรแฟน ๆ รึเปล่า?

“เปาขอฝากคนที่อยากเป็นนักร้องเหมือนเปา หรือมีความฝันเรื่องอะไรก็ตาม ในทุกความฝันมีความเป็นจริงอยู่ค่ะ ก็อยากให้ทุกคนทำต่อไป ให้ทุกคนมีความอดทนและพยายาม ปีนี้หรือปีหน้าไม่ประสบความสำเร็จ แต่ปีต่อไปอาจจะประสบความสำเร็จก็ได้ และหากประสบความสำเร็จแล้ว ก็ไม่อยากให้ละทิ้ง ทำต่อ ๆ ไปในเมื่อมันเป็นสิ่งที่เรารักค่ะ”

เป็นสาวที่เต็มไปด้วยความตั้งใจ กตัญญูและรู้จักวางตัว เชื่อว่าความดีของเธอจะทำให้ชีวิตในวงการรุ่งโรจน์แน่นอนจ้า