Inside Dara
มด ณปภัช ‘หลายคนมองเราว่าเจ้าชู้?!’

คนภายนอกมักจะมอง ‘มด-ณปภัช วัฒนากมลวุฒิ’ เป็นคนเจ้าชู้ แต่เจ้าตัวก็ไม่แคร์ เพราะเอาเข้าจริงแล้วเธอมองว่าความรักเป็นเรื่องของคำว่า ‘ใช่’ ซึ่งถ้าลองสัมผัสแล้ว ‘ไม่ใช่’ ก็ไม่ต้องทดเวลากันให้ยืดยาว แต่ถ้าใครคนนั้นคลิกเมื่อไหร่ ใจทั้งใจของเธอก็พร้อมจะทุ่มเทและพยายามประคองกันเดินทางให้ยาวนานที่สุด

มุมมองเรื่องความรักอาจเป็นเรื่องส่วนบุคคล แต่สามัญชนทุกคนก็เลี่ยงไม่ได้ ลองมาฟังมุมมองเรื่องรักของสาววัยเบญจเพสคนนี้ดู...คุณอาจจะรู้สึกได้ว่า ‘แค่คำว่ารักคงยังไม่พอ’

ตอนนี้อายุ 25 แล้ว เข้าวัยเบญจเพสซึ่งหลายคนมักกลัวว่าจะมีเรื่องร้ายๆ เกิดขึ้น โดยส่วนตัวแล้วมีอะไรแบบนี้บ้างไหม?

ไม่นะ มดคิดว่าอาจจะโชคดีเพราะเบญจเพสเราไม่หนักเท่ากับคนอื่นที่เขาอาจจะป่วย หรือเจออุบัติเหตุ ส่วนเรามีหกล้มเพราะซุ่มซ่ามทำด้วยตัวเอง และไม่ได้มองว่ามันเป็นเรื่องเบญจเพสแน่ๆ เลย มันเป็นแค่สิ่งที่ต้องเกิดขึ้นในชีวิตคนเรา มันเป็นโชคชะตาที่ต้องเกิดขึ้นอยู่แล้ว อะไรมันจะเกิดก็ต้องเกิดและเราก็ต้องยอมรับในสิ่งที่มันจะเกิดเท่านั้นเอง

ถามว่ามีไปทำบุญอะไรไหม? มันก็มีอยู่แล้วเพราะเราชอบทำบุญ แล้วทางคุณพ่อคุณแม่มาสายนี้ซึ่งเราก็ได้ตรงนั้นมาเยอะเหมือนกัน เราไปทำบุญปกติ ไม่ใช่ว่าเบญจเพสต้องทำบุญเยอะๆ

เป็นคนเชื่อเรื่องดวงไหม?

เอาจริงๆ เรามีความเชื่อนะ แต่ว่าแค่ฟังเอาไว้แล้วคิดว่ามันเป็นสิ่งที่คอยเตือนให้เราระวังตัวมากขึ้น ส่วนมันจะเกิดหรือไม่เราไม่รู้ มันเป็นเรื่องอนาคต ถ้าสุดท้ายแล้วอนาคตมันจะเกิดมันก็ต้องมีผลมาจากปัจจุบัน ทุกสิ่งทุกอย่างอยู่ที่ปัจจุบันหมด อยู่ที่เราจะทำตัวแบบไหนเท่านั้นเอง

ฟังๆ ดูแล้วน่าจะมีวิธีคิดแบบพุทธศาสนาเยอะเหมือนกันนะ?

คือเราทำบุญเยอะ แล้วเคยเข้าไปบวชชีพราหมณ์ด้วย คือจริงๆ ครั้งแรกที่ไปนี่โดนบังคับนะ แต่พอเราไปครั้งหนึ่งแล้วเราชอบก็กลับไปอีกเพราะว่ามันสงบจริงๆ นะ เราได้ปล่อยวางและได้เรียนรู้ว่าชีวิตนี้มันขึ้นอยู่กับอะไรหลายๆ อย่าง มันขึ้นอยู่กับโชคชะตา มันขึ้นอยู่กับการกระทำของเรา ถ้าสิ่งที่เราทำมันเกิดขึ้นเราก็ต้องยอมรับผลที่จะตามมาด้วย ประสบการณ์พวกนั้นเป็นบทเรียนชีวิตได้ดีเหมือนกัน แล้วมดจะเป็นคนที่มองว่าเราทำอะไรก็ได้ให้มีความสุข แต่ความสุขนั้นก็ขึ้นอยู่กับว่ามันควรหรือไม่ควร แล้วถามว่าคนเราทำผิดได้ไหม? ทำได้แต่ขึ้นอยู่กับว่าเราจะเรียนรู้กับความผิดนั้นได้อย่างไรเท่านั้นเอง

อย่างเรื่องความรักมดเอาธรรมะมาใช้ยังไง?

เรื่องความรักต้องมีสติ ไม่ว่าจะคบกับใครหรือคุยกับใครต้องมีสติ มันเป็นเรื่องที่ต้องใช้หัวใจและใช้สมองควบคู่กัน เรื่องการมีสมาธิและมีสตินั้นจะช่วยได้ คือเมื่อคนที่เป็นแฟนกันทะเลาะกันถ้าควบคุมสติสมาธิไม่อยู่ก็ไปได้เหมือนกัน มดมองว่าสุดท้ายแล้วต้องควบคุมอารมณ์ด้วยเหมือนกัน อีกอย่างหนึ่งคือถ้ามันใช่ก็คือใช่ ถ้าไม่ใช่ก็ไม่ใช่เราต้องรู้จักปล่อยวางตรงนั้นเหมือนกัน คนเราเป็นแฟนกันแล้ววันหนึ่งเลิกมันก็ต้องเสียใจอยู่แล้ว มันเป็นเรื่องธรรมดาของมนุษย์ แต่วันหนึ่งเราต้องปล่อยวางเรื่องพวกนั้นแล้วกลับมารักตัวเองให้มากขึ้น เพราะสุดท้ายไม่มีใครรักตัวเรามากกว่าตัวเราหรอก

เรื่องรักคนอื่นมากกว่าตัวเองนี่เคยเป็นไหม?

เคยเป็นและเชื่อว่าหลายๆ คนก็เคย หลายคนจะมองว่าเราเป็นคนเจ้าชู้ แต่จริงๆ แล้วเราเป็นคนรักใครยากมาก ถ้าไม่ใช่ก็จะบอกกันตรงๆ ว่าเป็นได้แค่เพื่อน ให้โอกาสเขาไปทุ่มเทกับคนที่เขาพร้อมดีกว่า ส่วนในกรณีที่ใช่ เราจะไม่ดูใครเลย เราจะเรียนรู้คนนี้คนเดียว มดว่าเวลาคนเราคบกันมันไม่ใช่แค่ว่าคบกันรักกันเฉยๆ มันต้องคิดมาในระดับหนึ่งแล้วว่า เราอยู่ตรงนี้มีความสุขหรือเปล่า? เราอยู่กับคนนี้เราต้องเปลี่ยนแปลงตัวมากน้อยแค่ไหน? เพราะคนจะคบกันมันต้องมีการปรับเปลี่ยนตัวเองบ้าง มีการทะเลาะกันบ้าง กว่าจะปรับตัวกันได้มันต้องใช้เวลา

มันไม่มีหรอกที่พอดีกัน หลายคนจะมองว่าแฟนที่สมบูรณ์คือจิ๊กซอว์ที่ต่อได้พอดี แต่ในชีวิตจริงไม่มีหรอกที่มันจะต่อกันติดได้แบบนั้น เพราะแต่ละครอบครัวก็สอนมาคนละแบบ ประสบการณ์ชีวิตต่างกัน เวลาจะคบกันต้องปรับตัว มันไม่มีหรอกที่จะเป๊ะเหมือนจิ๊กซอว์ที่หายไป อยู่ที่ว่าเวลาที่เจอปัญหาแล้วทั้งคู่จะปรับปรุงแก้ไขยังไง ซึ่งเราเป็นคนหนึ่งนะเวลาที่รักใครเรารักมาก เวลามีเรื่องทะเลาะก็ต้องแก้ไขกัน เรางี่เง่าไหม? เรามี เราอารมณ์ชะนีไหม? เรามี แต่เวลามีปัญหาเราต้องเอาสติและเหตุผลมาคุยกัน

แต่คำว่ารักมากมันก็มีเส้นบางๆ กั้นระหว่างคำว่าหลงนะ?

คนที่หลงมันจะดูเหมือนว่ารัก แต่ลองมีปัญหาสิจะรู้เลยเพราะคนที่หลงจะถอยห่างออกมา แต่คนที่รักเขาพยายามที่จะเคลียร์ปัญหาตรงนั้นและพยายามที่จะปรับตัวเข้าหาเรา นั่นคือความพยายาม แล้วรักกับหลงมันแยกไม่ออกหรอกตอนเราดีๆ กัน แต่ลองมีปัญหาดูสิแล้วจะรู้ เพราะตอนนั้นเราจะเป็นตัวเองที่สุด ซึ่งถามว่ามันผิดไหมเวลาทะเลาะกันแล้วเราเป็นตัวเอง? ไม่ผิดนะ มันเป็นเรื่องดีด้วยซ้ำที่อีกฝ่ายจะได้รู้ว่าตัวตนของเราเป็นอย่างไร และจะรับได้ไหม

แล้วมดมองความรักของคนยุคนี้ยังไง ที่ท้ายสุดมักจะจบลงด้วยความรุนแรงอยู่บ่อย?

มดว่าความรักคนสมัยนี้มันเร็วมาก ลองนึกถึงสมัยพ่อแม่เราสิ กว่าจะเจอกันกว่าจะคุยกัน แต่สมัยนี้ไม่ต้องเจอกันมันก็หาคู่กันได้ พอมันเร็วมากความพยายามของคนมันก็น้อยลง เดี๋ยวนี้เราส่งข้อความหากันง่ายมาก มันเลยมาไวไปไว ส่วนเรื่องความรุนแรงนี่มันเป็นเรื่องของคนไม่มีสติ เพราะเวลาที่คนอารมณ์ร้อนมันเอาความสบายใจตัวเองเป็นหลักอยู่แล้ว เลยบอกตั้งแต่แรกว่าความรักมันต้องมีสติ ไม่อย่างนั้นเราจะเห็นข่าวฆ่ากันตีกันเหรอ พอเกิดเรื่องแล้วก็มาสำนึกทีหลัง

บางคนบอกว่าความรักระหว่างเธอกับฉันเหมือนการไต่ลวดข้ามตึกเวิลด์เทรด หรือป่ายปีนขึ้นยอดเขาเอเวอเรสต์ ส่วนของมดจะเปรียบเหมือนกับอะไร?

มันเหมือนเส้นทางที่ไม่มีวันสิ้นสุดนะ มันต้องเรียนรู้กันเรื่อยๆ เพราะขนาดคนแต่งงานกันแล้วยังทะเลาะกันอยู่เลย บางคนอาจจะมองว่าการแต่งงานคือจุดสิ้นสุดของความรัก แต่จริงๆ มันเป็นแค่ระหว่างทางเพราะเส้นทางอาจจะยากขึ้นกว่าเดิม คุณจะประคองตัวกันไปยังไงให้ราบรื่น? เมื่อมีลูกจะดูแลลูกยังไง? ทัศนคติมันต้องไม่ตรงกันอยู่แล้วต้องปรับกันอีก

ชีวิตไม่ว่าจะเรื่องอะไรมันคือเส้นทางเส้นหนึ่งที่เราต้องเดิน แต่มดว่าสิ่งที่สำคัญมันไม่ได้อยู่ที่ปลายทาง มันอยู่ระหว่างทางที่เราต้องเจอทั้งเรื่องดี ไม่ดี ทุกข์หรือสุข มดว่ามันมีคุณค่ามากกว่าเส้นชัยอีกนะ เราจะได้รู้ด้วยว่าระหว่างทางที่เจอเรื่องร้าย ใครจะเป็นคนปล่อยมือเรา และใครจะเป็นคนที่จับมือเราไว้

ฝากถึงหนุ่มสาวทุกวันนี้หน่อยว่าถ้าอกหักท้อแท้ผิดหวังกับชีวิตจะลุกขึ้นมาใหม่ได้อย่างไร?

มันเป็นเรื่องของมนุษย์ทุกคนที่จะผิดหวัง มันมีอยู่แล้วที่เราจะเลิกกับแฟน ผิดหวังจากคนที่เรารัก เรื่องหลายๆ อย่างมันทำให้เกิดความเสียใจได้ บางคนไม่ร้องไห้แล้วเก็บอารมณ์ไว้ หรือคนบางกลุ่มเลือกที่จะร้องไห้แล้วจมอยู่กับมัน แต่ในมุมมองของเรา ถ้าเราบอกว่าเป็นคนเข้มแข็งแต่ที่จริงแล้วเรากำลังหลอกตัวเองมันก็ไม่ดีหรอก อ่อนแอได้มันไม่ใช่เรื่องผิด หรือบางคนร้องไห้อยู่นานไม่ยอมหลุดจากเหตุการณ์นั้นมาสักที คุณต้องปล่อยมันบ้าง คนเราทุกคนไม่มีใครเข้มแข็งได้ตลอด 24 ชั่วโมงหรอก มนุษย์ทุกคนมีความเข้มแข็งและมีความอ่อนแอ ถ้าวันหนึ่งคุณอ่อนแอก็ต้องให้ตัวเองอยู่ในจุดนั้นบ้างเพื่อจะได้เรียนรู้ว่าเราก็เข้มแข็งได้เช่นกัน ได้รู้ว่าความเจ็บมันเป็นยังไง ใครล้มแล้วอยู่ข้างเรา แล้วจะทำยังไงให้ตัวเองเข้มแข็งขึ้นมาได้ ความอ่อนแอไม่ได้แปลว่าพ่ายแพ้เสมอไป แต่ความพ่ายแพ้คือการที่เราไม่รู้จักกลับมาเข้มแข็ง อันนั้นคือความพ่ายแพ้จริงๆ