Inside Dara
กาลครั้งหนึ่ง..'ดาวยั่ว' สยามประเทศ

ยุคหนึ่ง ที่ภาพเหล่าโปสเตอร์ของ "เธอ" ถูกวิจิตรบรรจงแปะลงตามที่รโหฐานของบรรดาหนุ่มๆ สายเลือดไทย

ยุคหนึ่ง ที่ "เธอ" เป็นนางมาร นางสวาท และนางฟ้าของชายชาติทหารทั่วหล้า

ยุคหนึ่ง ที่ "เธอ" เป็นกบฎต่อสังคม

ยุคหนึ่ง ที่ "เธอ" ถูกเรียกขานว่า "ดาวยั่ว"

'เนื้อหนังมังสา' แดนพิศวงของยุคสมัย

บท “โป๊เปลือย” กับภาพยนตร์ไทย เปรียบเสมือนคู่ตุนาหงันร่วมกันมาตั้งแต่ยุคเริ่มแรกของภาพยนตร์ไทย แม้ไม่มีหลักฐานชัดเจนที่ระบุถึงที่มาที่ไป แต่ตัวนักแสดงบทวับๆ แวมๆ มีปรากฏให้เห็นบนม้วนฟิล์มมานมนาน แต่ไม่ได้ถูกจัด “ฐานะ” หรือ “จำกัดความ” ขึ้นเท่านั้น หลักๆ คือเรื่องสังคมที่ยุคนั้นให้ความสำคัญ แถมยังมีกำแพงจารีตกั้นสตรีเพศในเรื่องทำนองนี้ จึงแทบกลายเป็นสิ่งต้องห้ามของหญิงที่(ดี) พื้นที่เหล่านี้จึงเป็นพื้นที่เล็กๆ สงวนไว้เพื่อสาวขายบริการ หรือสาวโนเนม เพียงเท่านั้น

จนเมื่อประมาณปี พ.ศ.2500 (ยุคมิตร ชัยบัญชา) ปรียา รุ่งเรือง หรือที่รู้จักภายใต้เครื่องหมายการค้า “อกเขาพระวิหาร” ก้าวเข้ามารื้อวงการ คำว่า “ดาวยั่ว” จึงอุบัติขึ้นสำหรับใช้นิยามตัวบทบาทนักแสดงโดยเฉพาะ ขณะเดียวกัน เกลียวคลื่นความนิยมกับบทโป๊เปลือยก็ถาโถมเข้าสู่สายพานการผลิตภาพยนตร์แบบยั้งไม่หยุดฉุดไม่อยู่ ถึงขนาดมีคนพูดประมาณว่า “หนังที่จะทำเงิน นอกจากพระเอก-นางเอกแล้ว ดาวยั่วคือสิ่งที่ขาดไม่ได้” นับเป็นยุคดาวยั่วครองเมืองอย่างแท้จริง เมื่ออัตราส่วนของพื้นที่ภาพยนตร์ถูกแบ่งตามความต้องการของตลาดคนดู

ดาวโป๊-ดาวเปลือย จึงตบเท้าต่อแถวเข้ามาอวดสะโพก เนินอก เรียวขา และความสวยความเอ็กซ์ ในวงการกันอย่างล้นหลาม อาทิ แก่นใจ มีนะกนิษฐ์, มาลาริน บุนนาค, โขมพัสต์ อรรถยา ฯลฯ ดังบ้างไม่ดังบ้าง ขึ้นอยู่กับ "วัตถุดิบ" อย่างเนื้อหนังมังสาที่ติดตัวมาถูกตรงสเปกรสนิยมของผู้ชมหรือไม่ เพราะดาวยั่วมีหน้าที่ยั่วยุอารมณ์ และ "สารตั้งต้น" ที่เสมือนว่าดาวยั่วยุคนั้นจะต้องมี นอกจากหุ่นต้องดี บอดี้ต้องได้แล้ว หน้าอกก็คือส่วนสำคัญ ไม่เพียงสวยได้รูป หากแต่ขนาดก็ต้องดึงดูดสายตา ส่วนเรื่องหน้าตาก็ยิ่งต้องสวย เพราะดาวยั่ว คือตัวแสดงผู้สร้างสีสันอันน่าหวามไหวให้แก่ภาพยนตร์ จน “อก” “เอว” สะท้าน

หลังจาก ปรียา รุ่งเรือง ทลายบางส่วนของกำแพงสังคมลง เมฆหมอกที่เคยบดบังแสงจรัสจากดาวยั่วพลันลดเลือนจางไป พร้อมๆ กับผ้าผ่อนที่น้อยชิ้นขึ้น รัดนิดๆ หลวมหน่อยๆ เพื่อเน้นย้ำวัตถุดิบเพศทางร่างกายเพียงเท่านั้น ซึ่งในยุคนั้นถือว่าเรียกเรตโป๊-เปลือย เรียกเสียงร้องกันไปตามๆ ได้มากเลยทีเดียว

ประการแรก เพราะอิทธิพลจากขอบจารีต-ขนบธรรมเนียมประเพณีที่ถูกสั่งสมกันมารุ่นต่อรุ่น ถึงการแสดงออกในเรื่องเพศ ถือเป็นสิ่งที่ไม่สมควรและไม่เหมาะสมเป็นอย่างยิ่งกับกุลสตรีไทยในยุคนั้น เมื่อมีคนกล้าฉีก กล้าแหวก แหก มันก็เลยอึกทึกครึกโครมกันไปยกใหญ่

“ปรียา รุ่งเรือง ทำให้มีการบัญญัติศัพท์ “ดาวยั่ว” ขึ้นมา” เฮียกังฟู (ชูชาติ ธนมงคลชัย) กูรูเซ็กซ์ในตำนาน เคยบอกเล่าประวัติดาวโป๊-เปลือยไว้ในนิตยสาร mars

"ในช่วงอดีต ดาวยั่วตั้งแต่สมัยปรียา รุ่งเรือง จะดังมาก เป็นคนแรกเลยที่กล้าโชว์สรีระ เพราะก่อนหน้านั้นจะเป็นการนุ่งผ้าถุง แต่ตอนนั้นก็มีภาพนิ่งโป๊แล้ว แต่ไม่ได้โชว์เรือนร่างแบบทางยุโรปและอเมริกา โชว์แบบเหมือนอาบน้ำใส่ผ้าถุง หรือเลิกผ้าถุงขึ้นมาบ้าง นั่งถ่างขาอ้านิดหน่อย แม้แต่ในวงการหนังก็ตาม รุ่นปรียาก็ยังคงแค่ใส่ชุดบิกินีแค่นั้นเอง ทูพีซก็ฮือฮากันแล้ว "

"เพราะสมัยก่อน อาชีพนี้เป็นอาชีพที่ถือว่าน่ารังเกียจที่สุด บ้านเราไม่ยอมรับ" เฮียกังฟูกล่าว

สมัยนั้นขนบวัฒนธรรม ธรรมเนียมประเพณีเข้มมาก อย่างผู้หญิงเอาผ้าถุงคาดอก หรือเวลาอาบน้ำผ้าเกิดรัดทรวดทรง ก็ถือว่าเซ็กซ์เป็นอย่างมาก และไม่มีใครกล้าทำ

เหมือนกับอดีตนักแสดงบทดาวยั่วตัวแม่ของเมืองไทย ฉวีวรรณ บุญปรก ที่เล่าว่า "สมัยก่อนกับสมัยนี้ไม่เหมือนกัน สมัยโน้นเดินข้างถนน ขึ้นรถเมล์ก็ไม่ได้ ออกไปไหนก็ต้องไปที่คนเขาไม่ค่อยไปกัน ต้องเก็บตัวในฐานะดารา ที่พักก็ต้องปกปิดไม่ให้คนรู้ คนก็ค่อนข้างดูถูก ผู้ชายก็มองว่าเซ็กซี่ อยากจะเอา อะไรอย่างนี้ ขนาดนั้นเลย เขามองรูปร่าง ถ่ายภาพอะไร ผู้ชายก็เอาเข้าห้องน้ำหมด ไม่ต้องอธิบาย แม้ปัจจุบันตอนเราไปเที่ยว พวกหลานๆ เขาบอกว่า ผมเห็นรูปพี่อยู่ในห้องน้ำพ่อผม ถือเป็นเรื่องปกติ"

ประการต่อมา เมื่อกระแสความนิยมชมชอบของเหล่าสิงห์ม้วนฟิล์มทั้งหลายที่มีต่อปรากฏการณ์หวิวของผู้รับบทกายเนื้อที่เคลื่อนไหวบนจอ บทบาทดาวยั่ว จึงเป็นตัวแปรที่สำคัญตัวหนึ่งเลยที่สามารถชี้วัดความสำเร็จต่อภาพยนตร์เรื่องนั้นๆ และทิศทางควบคู่กันไป

"ในวงการหนังไทยก็เริ่มยอมรับกันว่า หนังเรื่องไหนถ้าไม่มีดาวยั่ว หนังเรื่องนั้นก็จะประสบความสำเร็จได้ยาก"

นักแสดงบทดาวยั่ว มีงานการแสดงเพิ่มขึ้นมาก เพราะหนังไทยในยุคนั้นทุกเรื่องต้องมีดาวยั่ว เรียกได้ว่า"ถ้าไม่มีดาวยั่ว" ถึงขนาด "คนไม่ดู" กูรูเซ็กซ์ในตำนานยืนยัน

หากดูจำนวนรายชื่อภาพยนตร์ทั้งหมดที่ถูกผลิตขึ้นภายใต้ผลข้างเคียงของบทบาทดาวยั่ว เฉพาะในปี 2500 มีทั้งสิ้น 60 เรื่อง ในปี 2505 มีจำนวน 51 เรื่อง และเพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ ในปี 2508 เป็นต้นไป (ที่มาเว็บไซต์วิกิพีเดีย รายชื่อภาพยนตร์ไทย พ.ศ. 2500, พ.ศ. 2501, พ.ศ. 2508) ส่วนนักแสดงก็ต่างหมุนเวียนผลัดเปลี่ยนขึ้นมาประดับวงการ อาทิ วาสนา ชลากร จอมใจ จรินทร์ ชฏาพร วชิรปราณี ฉวีวรรณ บุญปรก เพ็ญพักต์ ศิริกุล เป็นต้น

ประการสุดท้าย เพศศึกษา เป็นผลพวงเกี่ยวเนื่องต่อจากวัฒนธรรม ประเพณี ค่านิยม ที่เคร่งครัด ส่งผลต่อทัศนคติต่างๆ ในเรื่องเพศระหว่างชาย-หญิง สาเหตุเนื่องมาจากขาดความรู้ ขาดการบอกกล่าวจากผู้อาวุโส และความเข้าใจเพศตัวเองและเพศตรงข้าม "ของสงวน" บนร่างกายจึงเปรียบเสมือนดินแดนพิศวงที่ยากจะเข้าถึง จนกว่าจะถึงวัยอันควรในทางสังคม แต่ในทางกลับกันถือว่าช้ากว่าสภาวะร่างกายมนุษย์ที่มีความต้องการธรรมชาติ

"สมัยก่อนกับผู้หญิง ยากมากที่ผู้ชายจะได้มีสัมพันธ์ลึกซึ้งกับเธอ" นายแพทย์พันธ์ศักดิ์ ศุกระฤกษ์ แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านสูตินรีเวช โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ และพิธีกรรายการ ชูรักชูรส เล่าย้อนถึงสังคมสมัยก่อนที่ค่านิยมเรื่องของเซ็กซ์ยังมีศีลธรรมเข้มข้นกว่าปัจจุบัน

ค่านิยมเรื่องรักนวลสงวนตัวของเพศหญิง ค่านิยมการให้เกียรติอิสตรีถือเป็นคุณสมบัติประจำตัวสุภาพบุรุษในยุคก่อน ซึ่งได้รับการปลูกฝังรุ่นต่อรุ่นสืบทอดเป็นธรรมเนียมสังคมไทย แต่เมื่อวัฒนธรรมตะวันตกเริ่มแพร่กระจายเข้ามา ค่านิยม สังคม วัฒนธรรม ถูกผสมผสานเข้ากับวิถีชีวิตคนไทย "ดูหนังเจมส์ดีน ฟังเพลงเอลวิส" เป็นยุคหนึ่งที่วัยรุ่นไทยสมัยนั้นคลั่งไคล้เป็นอย่างมาก เกิดเป็น "จิ๊กโก๋ จิ๊กกี๋" กันเป็นแถวๆ

"มนุษย์ต้องการอะไรที่แปลกใหม่ แต่ก่อนดาวยั่วนั้นแปลกใหม่" รูปดาวยั่วจัดเป็นของหายาก มีอยู่ตามนิตยสารและในภาพยนตร์ ต้องเสาะแสวงหาถึงจะได้ยล แต่สมัยปัจจุบันเรื่องเพศ เรื่องเซ็กซ์ เข้าถึงได้ง่าย ความท้าทายในความรู้สึกของผู้ชายจึงลดลง คุณหมอพิธีกรรายการชูรักชูรส ชี้สาเหตุยุคทองของดาวยั่ว

การสูญพันธุ์ของดาวโป๊

หลังวัน "มหาวิปโยค" 14 ตุลาคม 2516 เกิดการเปลี่ยนแปลงของระบอบการเมือง สังคม ของประเทศไทยหลายประการ เกิดผลกระทบที่ส่งผลต่อการดิ่งลงของดาวยั่ว ไม่ว่าจะเป็นการเปิดกว้างในด้านสิทธิเสรีภาพ การลดการควบคุมตรวจสอบหนังไทย (เซ็นเซอร์แบบเข้มข้น ในยุคของจอมพลถนอม กิตติขจร) และตัวแปรหลักหนีไม่พ้น "เงิน" กับ "ธุรกิจ"

"ในช่วงนั้นราคาเป็นหลักล้าน รุ่นนั้นกล้าเปิดแล้วค่าตัวได้สูง" เฮียกังฟู บอกจุดเงินล่มสลายของดาวยั่ว

"มีการถ่ายแหกกันให้เห็นจะจะ ยุคหลังจะเห็นนม เห็นอะไรหมดเลย" ภาพยนตร์ถูกนำมาสร้างในรูปแบบธุรกิจแทนศิลปะ "ถอดเป็นธุรกิจ" เงินมาผ้าหลุด แสดงถึงความจงใจจะโป๊จะเปลือย

"วงการไม่ยอมรับกันนะ ถ้าจะเล่นเป็นดาวยั่วก็ต้องเป็นการยั่วแบบไม่เสื่อม เพราะการเป็นดาวยั่วยังมีเสน่ห์ให้ติดตามอยู่ เพราะยังไม่มีใครได้ ทุกคนก็หวังจะได้ มันก็เลยมีความสวยงามอยู่ แต่ถ้าไปแสดงเวอร์ชันเอ็กซ์ก็ไม่มีค่าอะไรแล้ว"

เป็นไปในทิศทางเดียวกับ ฉวีวรรณ ที่บอกว่า การกลายเป็นธุรกิจเต็มตัวของดาวยั่ว ส่งผลให้นักแสดงบทสวาท มีงานทั้งถ่ายแบบ เล่นหนังใหญ่และหนังเฉพาะ(เรตอาร์ เรตเอ็กซ์) และมิวสิกวิดีโอ

ยืนยันการเสื่อมถอยของยุคดาวยั่วของหมอชูรักชูรส "เพราะฉะนั้นมันไม่มีอะไรลึกลับให้อยากเห็น อยากรู้อยากลองอีกแล้ว หรือหนังสือประเภทโป๊ๆ เปลือยๆ ก็ขายไม่ได้แล้ว"

“เดี๋ยวนี้ใครๆ ก็เป็นดาวยั่วได้” เป็นคำอธิบายที่เห็นภาพชัดเจน ถึงการหายไปของ “ดาวยั่ว” และการเปลี่ยนแปลงบทบาท “นักแสดง” เสื้อผ้าหน้าผมนับวันยิ่งโป๊เปลือยมากขึ้น จนกลายเป็นเรื่องธรรมดาสำหรับสังคมในปัจจุบัน

"ดาวยั่วสมัยก่อนเขามียางอาย ตรงนี้ทำให้คนดูลุ้น มันบิดๆ เบี้ยวๆ เลือนๆ ปัจจุบันเห็นพวกนี้จนเบื่อ แล้วเดี๋ยวนี้นางเอกก็แย่งผัวแย่งเมียกันด้วย ทำให้คุณภาพของความศรัทธาตกลง ความเจริญทำให้ดาวยั่วเปลี่ยนวิถี ผู้ชมก็เปลี่ยนไป" เฮียกังฟูเสริม

หรืออย่างมุมมองของฉวีวรรณบ่งชี้วงการบันเทิงไทย "ยุคนี้ไม่มีดาวยั่วแล้ว ตอนนี้นางเอกนางร้ายก็ยั่วได้หมดแล้ว"

วิถีชีวิต กระแสสังคม และเงิน อันเป็นปัจจัยสำคัญที่หมุนเปลี่ยนอยู่ตลอดเวลา ส่งผลให้บรรดานักแสดงตัวนางเอก-นางร้าย ต่างพลิกแพลงพัฒนาตัวเองให้ครอบคลุมทุกบทบาทการแสดง เรียกได้ว่า ยั่วได้หมดทั้งในจอและนอกจอ อย่างที่พบเห็นได้ตามข่าว ตามภาพยนตร์ทั้งกระแสหลัก กระแสรอง ละคร หรืองานพรมแดงต่างๆ ที่ล้วนแต่ต่างงัด กอบ โกย(หน้า-หลัง) กันสุดพลัง เพื่อประชันความเซ็กซี่ที่หมายถึงพื้นที่ “ยืน” ของเธอในวงการบันเทิง

"ไม่สามารถแยกออกระหว่างนางเอกกับนางร้าย เพราะแต่งตัวโป๊พอๆ กัน แล้วชวนพระเอกขึ้นเตียงใกล้ๆ กัน" แพทย์สูตินรีเวช กล่าวทิ้งท้าย