Inside Dara
"กรีน" เชื่อรักต่างวัยไม่ทำให้หัวใจมีช่องว่าง

กระแสตอบรับดีจากบทบาทของ “บัวทอง” ในละครเรื่อง “ขุนเดช” ทางช่อง 7 สำหรับนักแสดงสาว กรีน-อัษฎาพร สิริวัฒน์ธนกุล แม้จุดเริ่มต้นจะเดินมาในเส้นทางสายนักร้อง แต่ปัจจุบันตั้งแต่เข้ามาอยู่ในรั้วของช่อง 7 ก็ทำให้หลายคนเห็นพัฒนาการด้านการแสดงของเธอว่าเติบโตมากขึ้นไม่น้อย รวมทั้งเรื่องราวของความรักกับหวานใจรุ่นพี่ เคลลี่ ธนะพัฒน์ ที่แม้วัยจะห่างกันพอสมควรแต่ทุกอย่างกำลังดำเนินไปอย่างราบรื่น วันนี้ เลยอยากจะพาไปพูดคุยกับสาวกรีนถึงชีวิตในหลากหลายมุมให้ได้ใกล้ชิดตัวตนที่แท้จริงของเธอมากขึ้นกว่าเดิม


กระแสตอบรับจากเรื่องขุนเดชดีมาก?

“ก็ดีค่ะ กรีนว่าคงเป็นเพราะเนื้อเรื่องด้วย คนอยากรู้เพราะเคยมีเวอร์ชั่นก่อน ยิ่งนักแสดงค่อนข้างมีชื่อเสียง พี่วี-วีรภาพ, พี่เวียร์, พี่จั๊กจั่น คนก็ยิ่งอยากดูไปใหญ่แล้วกรีนก็ดีใจมากที่คนก็ให้การต้อนรับ ชื่นชมในการแสดงของเราด้วย บางคนอาจจะชอบ บางคนอาจไม่ชอบบ้างก็มีผสมผสานกันไป แต่เนื้อเรื่องมันดีอยู่แล้ว เป็นละครน้ำดีเรื่องหนึ่งของช่อง 7 เลย เหมือนเป็นการสนับสนุนนักแสดงเล่นบทที่ดีด้วย พอละครออนแอร์ปุ๊บคนก็ติดตามเยอะ คนได้เห็นพัฒนาการการแสดงของเรา ก็ดีใจมากเลยค่ะ แต่เรื่องต่อไป “หยกเลือดมังกร” คาแรกเตอร์เป็นสาวมั่นเปรี้ยวซ่า คุณหนูเอาแต่ใจ ก็แอบกลัวคนมองไม่ออกเราจะเปรี้ยวยังไง เราเห็นหน้าตัวเองยังตกใจในความเปรี้ยวเลยค่ะ (หัวเราะ)”

มุมมองการทำงานในฐานะนักแสดงของเราเป็นยังไงบ้าง?

“เล่นละครมาเป็นเรื่องที่ 5 แล้วค่ะ สิ่งแรกที่เราเรียนรู้ในการเป็นนักแสดงคือมีวินัยและต้องตรงต่อเวลา พร้อมทำการบ้าน เตรียมตัวท่องบทค่ะ เราถึงจะสามารถทำงานอย่างราบรื่นมีความสุข เราต้องพัฒนาตัวเราเรื่อย ๆ ทุกฉาก ทุกตอนค่ะ เราเองไม่คิดว่าจะมาไกลขนาดนี้ เพราะมีช่วงหนึ่งที่เราหายไป จนเอเอฟให้เราลองจับทางแสดงดู ซึ่งกรีนชอบและสนุกก็จะพยายามทำให้ดีที่สุดค่ะ”

จุดที่อยู่ตรงนี้มีความสุขดีกับงาน?

“มีความสุขดีค่ะ ถึงแม้เราจะมีความกดดันแต่ว่ามันก็เป็นช่วงสั้น ๆ พอเราเห็นผลงาน มีแฟนคลับและครอบครัวเราคอยให้กำลังใจเราก็โอเคแล้ว กระแสด้านที่ไม่ชอบเราก็มีนะ บางคนยังบอกเล่นไม่ค่อยดี หรือบางกระทู้ในเว็บไซต์ก็มาแนะนำว่าเรายังร้องไห้หรือตรงนั้นตรงนี้ไม่ดี กรีนอ่านนะคะ รับฟังหมดนะต้องขอบคุณทุกคอมเมนต์จริง ๆ”

ตัวตนที่แท้จริงของกรีนเป็นคนยังไง?

“ถ้าพูดถึงนิสัยแท้จริงเราก็ธรรมดาปกติค่ะ แต่พอแต่งหน้าโน่นนี่ก็อาจดูดีดูสวย แต่จริง ๆ ไม่ใช่เลย พอเราลบหน้ามาก็เป็นคนทั่วไปเดินข้างถนน ก่อนหน้านั้นกรีนก็เป็นแบบนั้น ปัจจุบันก็ต้องเป็นแบบนั้นเหมือนกันค่ะ เป็นเด็กอายุ 22 ปีที่ทำงานหาเลี้ยงครอบครัว เรียนให้จบเพราะเรียนอยู่ปี 2 มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ ทำทีสิสปีนี้แล้ว จะได้จบเร็วขึ้น แต่ครอบครัวก็คอยให้กำลังใจเรา คอยเตือนเรื่องเรียนอยู่เสมอ”

คุณพ่อคุณแม่เน้นเรื่องไหน?

“คุณพ่อคุณแม่ท่านไม่ได้อยู่ในวงการ ท่านมองว่าวงการมีอะไรซ่อนอยู่เยอะต้องคอยระวัง ไม่อ้างอิงบุคคลที่สาม ไปทำงานก็ต้องมีมารยาทกับทุกคน เพราะบางทีบางคนเข้ามามีชื่อเสียงปุ๊บจะเหลิง หลงตัวเอง แต่กรีนไม่นะ ถ้าเรารู้ว่าเราเป็นใครมาจากไหน เราจะรู้ว่าเราไม่จำเป็นเลยที่ต้องทำตัวให้เด่นให้ดัง เป้าหมายการทำงานเราจริง ๆ เพื่ออะไรเราต้องรู้ กรีนทำทุกอย่างเพื่อครอบครัว ถ้าพูดถึงครอบครัวทุกอย่างต้องดีและใสสะอาด เวลาที่คิดถึงครอบครัวก็จะคิดก่อนทำ ทำให้ดี อย่าทำให้เขาเดือดร้อนเพราะถ้าเราสร้างปัญหาอีกกลายเป็นภาระให้เขาก็แย่ค่ะ”

เรื่องความรักกับพี่เคลลี่ คนก็ค่อนข้างจับตามอง?

“เข้าใจค่ะ ขึ้นอยู่กับความคิดคนนะก็รู้สึกเหมือนกัน แต่อยากให้เขาใช้เวลาพิสูจน์มากกว่าว่าเป็นยังไง คนเราต่างความคิด เขาจะมองต่างก็ไม่ผิด แต่อย่ามองเราไม่ดี เพราะการที่มองเราไม่ดีแปลว่าคุณพ่อคุณแม่สอนเราไม่ดีแน่ ๆ กรีนไม่อยากให้คนมองแบบนั้นเลยค่ะ”

ย้อนไปตั้งแต่แรกที่เจอกันกับพี่เคลลี่ให้ฟังได้มั้ย แล้วกรีนประทับใจพี่เขาตรงไหน?

“ก็เจอกันที่ทีวีธันเดอร์นี่แหละค่ะ ก็ได้คุยกันค่ะ แล้วก็เคยเจอที่งานกาชาดครั้งหนึ่งแล้วก็มาทำงานที่ช่อง 7 ด้วยเลยได้รู้จักกับพี่เขาจริง ๆ อย่างที่หลายคนบอกว่าอายุเราห่างกันเยอะ แต่ตอนนี้เราก็คุยกันมาจะปีหนึ่งแล้ว แต่ก็ต้องใช้เวลาว่าจะเป็นยังไงในอนาคต แต่ถ้าพูดถึงนิสัยพี่เคลลี่เป็นคนดีจริง ๆ เป็นคนดีคนหนึ่งที่ทำงานตรงนี้ แล้วก็สอนกรีน เตือนกรีนให้ความรู้กับกรีนได้ทั้งเรื่องการแสดงและงานไม่ใช่แค่เรื่องความรักอย่างเดียวค่ะ”

เขามีสอนหรือบอกให้ระวังอะไรเป็นพิเศษมั้ย?

“เขาให้ระวังเรื่องบทจูบเลยค่ะ พี่เขาจะบอกเลยว่าไม่ต้องเล่นจริงทุกครั้งก็ได้ ขอพี่ ๆ ไปเลยมันใช้มุมกล้องได้ เราก็ไม่รู้มาก่อนเขาให้เล่นเลิฟซีนก็เล่นเลยไม่กล้าขัด (หัวเราะ) พี่เขาก็บอกพูดได้มันเป็นสิทธิของเรา เรายังจะเล่นอีกหลาย ๆ เรื่อง เขาอยากให้เราดูแลตัวเองมากกว่าในฐานะผู้หญิง ปากเราก็ต้องเก็บไว้หน่อย (หัวเราะ)”

มีไปไหนมาไหน เจอกันบ่อยมั้ย คุณพ่อคุณแม่แนะนำเรื่องของความรักครั้งนี้ว่ายังไง?

“มีไปกินข้าว ดูหนังใช้ชีวิตปกติเลยไม่ได้ปิดบัง คุณพ่อคุณแม่ก็ไม่ได้พูดอะไรมาก เขาอยากให้เราเรียนให้จบก่อน คนเป็นแม่ ลูกคนหนึ่งมีความรักเขาก็หวง คอยเตือนให้เราดูดี ๆ คุณแม่จะชอบแซวเป็นผู้หญิงเหมือนมีส้วมอยู่หน้าบ้าน กรีนก็จะบอกถึงเป็นส้วมหน้าบ้านจริง แต่เป็นส้วมที่ขัดสะอาดแล้วนะ”

เพราะคู่เราเปิดตั้งแต่แรกหรือเปล่าเลยทำให้สบายใจมากขึ้น?

“ใช่ค่ะ ก็ปรึกษากับพี่เขาว่าเราไม่จำเป็นต้องปิดเนอะ แต่จะให้เราพูดกันตรง ๆ ต่อหน้าสื่อก็ทำไม่ได้ เป็นความจริงของคนในวงการค่ะ ที่เขาต้องตอบคำถามว่าเราเป็นเพื่อนกันอยู่ เพราะต้องใช้เวลาในการศึกษาเหมือนกัน ซึ่งมันอาจจะไม่ใช่ก็ได้พอคุยกันไปคุยกันมา มีรูปออกมาไปกินข้าวก็มองว่าคบกันเป็นแฟนกันแล้ว แต่อีก 2-3 วันกลายเป็นว่าไม่ได้คุยกันแล้ว พี่เขาเลยบอกว่าเราควรพูดน้อย ๆ ก่อน เราก็โอเคออกมาพูดตรง ๆไม่ได้ปิดบังอะไร อย่างโดนถามว่าทำไมไม่ใช้คำว่าแฟน พอเราตอบเขาก็ต้องถามต่อเรื่องแต่งงาน เรื่องอนาคตซึ่งเราก็ยังเด็กยังไม่ได้มองไกลถึงจุดนั้นเลย ก็เลยตอบไม่ได้ขนาดนั้นจริง ๆ”

1 ปีที่คุยกันมาเราเรียนรู้อะไรบ้าง?

“พี่เขาเสมอต้นเสมอปลายมากค่ะ ดูแลเอาใจใส่เรา ปกป้องเราทุกอย่าง บางทีเราให้สัมภาษณ์สื่อเยอะเกินไป มีช่วงหนึ่งนะ เขาก็จะบอกว่าเขาต้องออกมาพูดบ้าง ก็ช่วยเหลือเราตลอด เพราะมีช่วงหนึ่งที่คุยกันแรก ๆ คนเริ่มรู้ก็จะมาถามเราตลอด เลยกลายเป็นเราพูดเยอะ เหมือนเรานำเสนอ แต่จริง ๆ เราแค่รู้สึกว่าถามกันเยอะงั้นเราพูดให้หมดเลย (หัวเราะ) เราเด็กด้วยเลยพูดออกไป พอเจอกระแสต่อว่าเราพูดเยอะไปโน่นนี่ก็แอบนอยด์เหมือนกัน เราพูดแบบนี้พี่เขาจะเป็นยังไง ต้องคอยมาแก้ข่าวปกป้องเราอีกแล้ว ทำปัญหาอีกแล้ว พี่เขาเลยสอนและให้กำลังใจว่าบางครั้งอยู่ตรงนี้ไม่จำเป็นต้องพูดทุกอย่างให้ทุกคนรู้ พูดให้มีใจความแค่นั้นพอ”

มีมุมสวีทบ้างมั้ย?

“ก็เหมือนพี่น้อง พ่อห่วงลูก (หัวเราะ) ก็เป็นห่วงกันค่ะ พี่เขาก็มีมุมน่ารัก ๆ ของเรา เขามีความซุ่มซ่ามโดยที่คนไม่เคยเห็นแต่น่ารัก คนเห็นเขาหน้านิ่งสมาร์ท แต่ตัวจริงเป็นคนน่ารักแล้วมีมุมเด็ก ๆ เยอะมาก เราก็จะขำเขาตลอด ตอนนี้ยังไม่อยากเรียกว่าเป็นแฟนเพราะปีนึงก็ยังไม่เยอะนะ ขอใช้เวลาดูก่อน ตอนนี้กรีนโฟกัสเรื่องเรียนและทำงานมากที่สุด แต่ก็ดีใจที่มีพี่เขามาเป็นอีกหนึ่งกำลังใจของเรา”

อายุที่ห่างกันทำให้เราต้องปรับตัวเข้าหากันเยอะมั้ย?

“เพราะเราไม่ได้อยู่ด้วยกันตลอดเวลาค่ะ แต่ถ้าวันหนึ่งเราอยู่ด้วยกันตลอดเวลาเรื่องความไม่เข้าใจกันก็อาจจะมีเกิดขึ้นบ้าง แต่ก็เป็นเรื่องของอนาคต 10 ปี 20 ปีนะ แต่ตอนนี้ยังไม่มีอะไรต้องปรับเปลี่ยนกันมากมาย เพราะเรายังคงตั้งอยู่บนพื้นฐานความเป็นเพื่อนพี่น้อง ก็จะสบายใจกว่าค่ะ”

เห็นว่าไปเจอคุณแม่พี่เคลลี่แล้ว?

“วันนั้นเสร็จงานเราไม่ได้ไปไหนต่อก็เลยไปหาคุณแม่พี่เขาซักหน่อยดีกว่า เขาเพิ่งกลับมาจากอเมริกา แล้วกำลังจะบินกลับแล้วก็ไปไหว้ท่านหน่อย ก็ได้เจอคุณแม่แล้วก็พี่น้องของพี่เขาด้วยทุกคนน่ารักมากค่ะ เราก็ไปนั่งนิ่ง ๆ เกร็ง ๆ เจอคุณแม่เขาจับแขนเราแล้วทักเลยทำไมเราผอมจัง (หัวเราะ) ส่วนพี่ ๆ น้อง ๆ เขาก็บอกว่าดูละครของกรีนด้วยแล้วก็พากันมาถ่ายรูปค่ะ”

จุดมุ่งหมายของเราในวงการบันเทิงมองยังไงบ้าง?

“ด้วยความที่เราเรียนสถาปัตยกรรม การออกแบบ เราอาจจะพัฒนาไปทำบริษัท แต่ตอนนี้ก็ทำงานในวงการเก็บเงินไปก่อน เราคิดไว้หลายอย่างมาก อยากทำสินค้าส่งออกหรือผลิตสินค้าที่ราคาแพง ๆ ในราคาที่ย่อมเยาแต่มีคุณภาพคนซื้อหาได้ก็แอบมอง ๆ ไว้ แต่อยากต่อปริญญาโทเหมือนกันแต่ยังต้องดูอีกที เพราะกรีนอยากไปต่อที่ต่างประเทศเพื่อที่จะได้ภาษาด้วย”

การวางตัวในวงการหลายคนก็ชื่นชมไม่มีข่าวไม่ดี มีอะไรแนะนำน้อง ๆ คนรุ่นใหม่ในวงการมั้ย?

“คนเราทำผิดพลาดได้ แต่ต่อไปจะทำอะไรต้องคิดก่อนทำ คิดก่อนพูด เรามีประสบการณ์มาเหมือนกันตั้งแต่ยังไม่อยู่ในวงการ ถึงไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรแต่ถ้าวันหนึ่งเรื่องใหญ่ ๆ เกิดขึ้นเราจะไม่สามารถย้อนกลับไปแก้ไขได้ ฉะนั้นรู้ว่ามีจุดบกพร่องตรงนี้ต้องระวังแล้วปรับปรุง เราต้องนึกถึงครอบครัว ไม่ทำให้คนอื่นเดือดร้อน รักตัวเอง พาตัวเองไปในจุดที่สูงและดีที่สุดเท่าที่เราทำได้ แต่ก็ไม่ลืมที่จะหันมองตัวเองและคอยดูแลครอบครัวเช่นเดียวกัน ตอนนี้สิ่งที่กรีนคิดแล้วอยากทำมากที่สุดคือทำงานเก็บเงินซื้อบ้านให้แม่แล้วก็ล้างหนี้ให้หมดให้บ้านเราอยู่สบายที่สุดเท่าที่จะทำได้ค่ะ” แหม...ยิ่งได้พูดคุยก็ได้รู้ว่าสาวกรีนเป็นธรรมชาติ ติดดินอย่างแท้จริง และมีความมุ่งมั่นในการแสดง เป็นตัวอย่างให้เด็ก ๆ รุ่นใหม่ได้เดินตามได้เป็นอย่างดีในการทำงานและการวางตัวเรื่องของความรัก แบบนี้นี่เองพี่เคลลี่ถึงให้ใจเต็มร้อย…