Inside Dara
"พ่ออี๊ด สุประวัติ" อิ่มเอมใจได้ใช้ชีวิตคน 3 แผ่นดิน ฝากถึงรุ่นหลังการจงรักภักดีต้องทำให้เป็นปกติ

เปิดใจ "พ่ออี๊ด สุประวัติ" ผู้กำกับ 3 แผ่นดิน อิ่มเอมใจมีวาสนาได้ทำงานรับใช้ใต้เบื้องพระยุคลบาท เทิดทูนสถาบันพระมหากษัตริย์ ฝากถึงคนรุ่นหลังต้องรักสถาบัน การจงรักภักดีต้องทำให้เป็นเรื่องปกติ

เดินทางมาเกินครึ่งชีวิต ได้มีโอกาสเห็นนาทีประวัติศาสตร์ พระราชพิธีบรมราชาภิเษก สำหรับผู้กำกับ นักแสดงอาวุโส "พ่ออี๊ด สุประวัติ ปัทมสูต" ซึ่งเจ้าตัวเผยว่าพระราชพิธีบรมราชาภิเษก ในหลวง ร.๑๐ ก่อให้เกิดความรู้สึกอิ่มเอมใจ และเชื่อว่าครั้งนี้จะเป็นครั้งสุดท้ายที่ตนได้เห็นพิธีมหามงคลแบบนี้

"เราก็มีความรู้สึกไม่แตกต่างจากประชาชนทั่วไปที่ได้เห็นพระราชพิธีนี้ มีความรู้สึกอิ่มเอมใจ และพระราชพิธีที่เกี่ยวกับพระเจ้าแผ่นดิน ซึ่งเหลือไม่กี่ที่ในโลกนี้แล้ว โดยของในประเทศไทยยังคงความศักดิ์สิทธิ์ เราถวายความเคารพ การบูชา จงรักภักดีพระองค์ท่านเหมือนเดิม"

"ถ้าพูดถึงคนในสมัยเดิมๆ ที่ได้ผ่านชีวิตมาถึง 3 แผ่นดิน สมัยก่อนตอนเป็นเด็ก เป็นเด็กชาวสวน อาศัยอยู่ในคลองบางกอกน้อย และการที่มีพระราชพิธีแบบนี้ก็เปรียบเสมือนว่าเราได้ไปเที่ยว เป็นความดีใจของเด็กถ้าเทียบกับเด็กสมัยนี้คือการได้ไปเที่ยวสยามอะไรประมาณนั้น ซึ่งสำหรับเราในตอนนั้นดีใจจนเนื้อเต้น ได้ไปเที่ยววัดพระแก้ว และความอิ่มเอมใจของพสกนิกรที่อายุเกิน 70 ปีขึ้นไปจะรู้สึกเลยว่าพระราชพิธีเช่นนี้ กลับมาให้เราได้เคารพ ได้ไหว้ เป็นพระราชพิธีที่หาชมได้ยาก ตอนนี้ก็อายุ 81 แล้ว ก็คงเป็นการชมพระราชพิธีนี้เป็นครั้งสุดท้ายแล้ว"

"ย้อนกลับไปวันนั้นที่เราได้ชมตอนพระราชพิธีบรมราชาภิเษกของในหลวง รัชกาลที่ ๙ ตอนนั้นก็เห็นแบบอยู่ไกลๆ ท่านทรงเสด็จรอบสนามหลวง แม่ก็พาขี่คอไปดู ซึ่งความตื่นเต้นของเด็กก็ไม่มากพอเท่ากับผู้ใหญ่ แต่ความตื่นเต้นของเด็กจะเกิดขึ้นต่อจากนั้น แม่จะพาไปกินก๋วยเตี๋ยวต่อ ไปกินน้ำแข็งใส และที่จำได้ในใจคือเราอยากไปเขาดินมาก แต่แม่ก็ไม่ได้พาไป เพราะเวลานั้นเขาดิน คนคงแน่นมาก เพราะขนาดคนที่มารอชื่มชมพระบารมีของพระองค์ท่านยังมากันแบบมืดฟ้ามัวดิน อย่างไรก็แล้วแต่ก็คือคำว่าไปเที่ยวพระราชพิธี ไปเที่ยววัง ไปเที่ยววัดพระแก้ว เด็กสมัยนั้นน่ารักมาก คำว่าเที่ยวนั้นตามมาด้วยเอกลักษณ์ความเป็นไทยตามมา"

บอกเมื่อก่อนไม่เหมือนตอนนี้ เด็กรุ่นใหม่โชคดี ไม่ว่าจะอยู่ส่วนไหนของทุกมุมโลกก็สามารถได้รับชมพระราชพิธีบรมราชาภิเษก

"ในตอนนั้นที่เราได้ไปรับเสด็จ ก็ไม่ได้เห็นพระพักตร์ของพระองค์ท่าน เพราะคนเยอะมาก และเราก็อยู่ไกลๆ สมัยนั้นยังไม่ได้มีทีวีเพราะใน พศ. 2493 น่าจะมีวิทยุเป็นหลัก ภาพข่าวที่ชัดๆ ก็ต้องรอหนังสือพิมพ์ ทุกคนก็ซื้อเก็บเอาไว้ ซึ่งเด็กสมัยนี้โชคดีมากๆ สื่อต่างก็เข้าถึงง่ายทุกอย่าง อะไรก็ง่ายๆ ไม่ว่าจะอยู่ส่วนไหนของโลกก็ได้รับชมได้อย่างทั่วถึง ถ้าเป็นคนไทยก็ควรเปิดชมพระราชพิธีอันนี้สำคัญ"

วันที่จะไม่ลืม 28 เม.ย. มีโอกาสรับใช้เบื้องพระยุคลบาท รับบทบุเรงนอง เล่นละครต่อหน้าพระพักตร์

"ถามว่าซึมซับแค่ไหน ด้วยความที่เป็นคนไทย เวลาได้ชมพระราชพิธีอะไรแบบนี้ ก็รู้สึกปลาบปลื้มใจแล้ว เพราะนอกจากพิธีบรมราชาภิเษกแล้ว ก็ยังมีความฉัตรมงคล วันพืชมงคล มีพราะราชพิธีต่างๆ และสุประวัติโชคดีอีกอย่างหนึ่ง นอกจากวันสำคัญต่างๆ แล้ว ก็ยังมีอีกวันนึงที่ไม่เคยลืมคือวันที่ 28 เมย. วันอภิเษกสมรส โชคดีที่ได้รับเลือกให้เป็นหนึ่งในนักแสดงเล่นละครดึกดำบรรพ์ ของอาจารย์สมภพ ละครดึกดำบรรพ์เป็นละครที่ร้องและรำไปพร้อมกัน ซึ่งแพร่หลายมากในช่วงรัชกาลที่ ๖ ก็เลยเล่นในเรื่องของพระสุพรรณกัลยา"

"โดยเป็นพระราขดำริของสมเด็จพระนางเจ้าฯ ท่านทรงบอกว่าสมเด็จพระพี่นางฯ ของพระนเรศวรฯ น่าจะมีใครเอามาแสดง ชี้แจง พระองค์มีความสำคัญต่อแผ่นดินมาก มีคุณประโยชน์ต่อแผ่นดินมาก โดยพระองค์เองได้เอาตัวเองไปแลกเป็นตัวประกัน แทนพระนเรศวร เพื่อให้พระนเรศวรได้กลับมาปกครองแผ่นดิน ต่อมาก็ได้กู้ได้ชาติเป็นที่สำเร็จ ตรงนี้ประวัติเรื่องของพระสุพรรณกัลยาค่อยข้างที่จะบ้างไปนิดนึง สมเด็จพระนางเจ้าฯ จึงให้อาจารย์สมภพซึ่งเป็นมือเขียนอันดับต้นๆ ในขณะนั้นเป็นคนเขียนบทละครนี้ขึ้น"

"ผมก็ได้ร่วมแสดงในละครเรื่องนี้ รับบทเป็นพระเจ้านันทบุเรง และสมเด็จพระนางเจ้าฯ โปรดให้นำละครเวทีเรื่องนี้ไปแสดงฉลองในพระราชพิธีอภิเษกสมรสประมาณปี 2516 หรือ 2517 ซึ่งแสดงต่อหน้าพระพักตร์ทั้ง 2 พระองค์ที่วังไกลกังวล ซึ่งเป็นงานชิ้นแรกที่ได้ทำถวายต่อหน้าพระพักตร์ แต่ต่อมาก็ถวายงานมาเรื่อยๆ รับใช้เบื้องพระยุคลบาทมาตลอด ทำให้เรารู้สึกว่าเรามีความผูกพันกับเจ้านาย"

ตื้นตันมีวาสนาได้รับใช้ใต้เบื้องยุคลบาท

"นอกจากเราเป็นคนไทยคนนึงแล้ว และเราเองยังได้มีวาสนาได้ทำงานรับใช้ใต้เบื้องพระยุคลบาทแล้ว และอย่างที่เคยให้สัมภาษณ์ไปแล้วว่าคนไทยทุกคนจะเกิดความจงรักภักดี

ต้องทำเป็นปกติ คือหมายถึงปกติ เพราะทุกคนมีหน้าที่และมีใจรักพระองค์ทุกคน เหมือนใครถามว่ารักพ่อ รักแม่มั้ย ถ้าเขาตอบว่ารักครับ คนจะชมว่าเก่งเหลือเกิน แต่จริงๆ แล้วเขาคนนั่นคือคนปกติ"

คนไทยรักพ่อแม่เป็นเรื่องปกติ แต่คนที่ไม่รักพ่อแม่ไม่ปกติ

"แต่ถ้าไม่รักพ่อรักแม่น่ะสิ นั่นไม่ปกติ ถ้าเราไม่รัก ไม่เทิดทูน เจ้านายของเรา นั่นคือมนุษย์ไม่ปกติ แต่ถ้ารักคือคนไทยที่เป็นปกติ และการที่เราได้ทำงานถวายถือว่าเป็นมงคลสูงสุดในชีวิต ซึ่งวันนี้ได้ทำละครฟอร์มใหญ่มาก มันคือความอิ่มเอมใจที่เกิดขึ้น อิ่มและท่วมล้นว่าเราได้ทำถวายอีกแล้ว แต่การทำเป็นเรื่องปกติ เพราะมันคือหน้าที่ ไม่ใช่หมายความว่าทำเพราะถูกบังคับหรือจำใจ แต่นี่คือทำด้วยใจ ถ้ารู้ว่าเป็นการทำถวายในหลวง ต้องทำเลย เพราะนี่เป็นหน้าที่ของคนไทย ส่วนไอ้พวกที่มาแหกปากโวยวาย ไอ้พวกนั้นสิไม่ปกติ ไอ้พวกนั้นต้องถามมันว่ามันเป็นอะไรกัน"

"คิดว่านี่เป็นบุญของเรา เพราะเรามีโอกาสมากกว่าคนอื่นๆ และที่เราดีใจยิ่งกว่า คนที่เราขอให้เขามาร่วมแสดง ทั้งๆ ที่เขามีงานมากมาย เขารับด้วยความยินดีในความที่เขาไม่รู้สึกตัวเลยว่าเขาได้แสดงความเป็นคนไทยแบบปกติออกมา เพราะปกติของคนไทยต้องรัก และเทิดทูนพระบรมวงศานุวงศ์ทุกพระองค์ เทิดทูนพระมหากษัตริย์และสมเด็จพระราชินีทุกพระองค์ เป็นปกติของคนไทยทุกคน"