Inside Dara
น้ำตาจะไหล “หมิว” ทำใจอยู่กับปัจจุบันเพราะย้อนอดีตไม่ได้ ปลื้มลูกทั้งสองให้กำลังใจ

“หมิว ลลิตา” ม่ายคิดบวก เผยต้องอยู่กับปัจจุบันเพราะอดีตย้อนกลับไปไม่ได้ ปลื้มใจลูกชายคอยเป็นกำลังใจให้ แถมยังเป็นฝ่ายดูแลแม่จนแอบงงว่าใครเป็นแม่ใครเป็นลูก

เป็นซูเปอร์สตาร์ที่ขึ้นชื่อว่าติสท์ชอบความเรียบง่ายมาตั้งแต่สมัยสาวๆ กระทั่งแต่งงาน ชีวิตครอบครัวของ “หมิว ลลิตา ปัญโญภาส” ก็ไม่ค่อยจะถูกเปิดเผยต่อสาธารณะชนมากนัก แม้กระทั่งในวันที่แยกทางกับสามี หมิวก็ยังดำรงชีวิตอยู่ในความเรียบง่ายเงียบสงบ ไม่ยอมจะออกมาพูดเรื่องแถลงข่าวถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้น มีแต่รอยยิ้มและคำตอบให้กับสื่อมวลชนว่า หมิวโอเค กระทั่งเมื่อเวลาผ่านไปหมิวถึงได้ยอมเปิดใจในกองละครล่าที่เจ้าตัวเล่นแบบน้ำตาจะไหล เพราะกดดันกลัวกับการตอบ

"กลัวนะเรื่องข่าวแต่ปรากฏว่าทุกๆ คนน่ารัก น้ำตาฉันจะไหล แบบว่าไม่ทำให้เราอึดอัด เราก็เลยซาบซึ้ง ตอนแรกกดดันตัวเองมากเลย เพราะพูดอะไรก็ไม่ได้มากเลยรู้สึกว่าวันนี้ทุกคนน่ารักมาก นี่คือสิ่งที่ดี คือพลังดีๆ ของการใช้ชีวิตจริงๆ มันคือพลังบวก แล้วมันก็เป็นแบบนั้นจริงๆ"

"เราก็เป็นคนธรรมดามาก อาจจะเป็นแม่ของลูก ต้องไปไหนมาไหนกับลูกเหมือนคนทั่วไป ลูกจะไปดูหนัง จะไปไหน เราก็ต้องใช้ชีวิตปกติที่สุดเพราะลูก เราคิดว่าเราเป็นแม่ของลูก เวลามากองเราเป็นนักแสดง แต่เวลาที่เหลือเป็นแม่ของลูกมากกว่า เป็นแม่ที่ลูกเรียกให้ไปด้วยดีกว่าไม่ไป ไปก็ไปส่งแล้วก็ไปรับ แต่เดี๋ยวนี้เขาเริ่มติดเพื่อนแล้ว แต่คนเล็กก็ยังให้พื้นที่เรา ชอบให้เราไปรับไปส่งที่โรงเรียน ยังชอบคุยกันในรถ มันยังมีโมเมนท์ตรงนั้น ซึ่งเราว่ามันดีมากๆ เลย และเขาก็เริ่มที่จะมีคนคุยของเขากับอีกคนหนึ่ง บางทีเราก็เข้าไปคุยด้วยกัน 3 คนเลย ดีๆ ก็สนุกดีเหมือนกัน”

"แต่เราดูแก่และค่อนข้างจะมีระเบียบวินัยหน่อยนึงกับลูก แต่ตอนนี้เขาเป็นวัยรุ่นเเราก็ปล่อย เพราะกลัวเขาจะกันเรา แล้วก็ไม่บอกอะไรเรา ก็พยายามเป็นเพื่อนกับเขา เราอยากให้ลูกสบายใจ ใช้ชีวิตเต็มที่ อยากให้เขารู้สึกว่าเขาต้องคิดเองนะกับการใช้ชีวิตที่เหลือ แล้วตอนนี้เขากลับเป็นคนที่ดูแลเรา กลับเป็นคนที่ให้กำลังใจ เราก็เลยรู้สึกว่าบางครั้งมันก็มีอะไรดีๆ เขาไม่เป็นลูกแหง่เลย ตอนนี้แพลงตอนคนโตเหมือนจะดูแลแม่ด้วย บางวันเรากลับมาไม่ยอมอาบน้ำ ก็บอกแม่ทำไมไม่อาบน้ำ แม่ทำไมไม่ไปทำอันนั้นให้เสร็จ ตกลงฉันหรือเธอเป็นแม่เป็นลูก แต่ก็โอเค (ยิ้มอย่างมีความสุข) และเขาไม่ค่อยเชื่อถือเรา เพราะเขารู้ว่าแม่รั่ว ลูกเห็นความรั่วก็เลยมาคอยกลบๆ ให้แม่"

อดีตย้อนกลับไปไม่ได้ ขอให้อยู่กับปัจจุบัน

"ก็อยู่กับปัจจุบันนะ อะไรก็แล้วแต่ถ้าเลือกแล้วก็อยู่กับปัจจุบัน แล้วก็ดูแลคนใกล้ชิด ตอนนี้ก็ดูแลแม่และลูกทั้ง 2 ก็มีความสุขเวลาได้อยู่กับคนที่เรารัก ในวันที่ทุกข์ก็อยู่กับปัจจุบัน เพราะมันย้อนกลับไปไม่ได้แล้ว ก็อยู่กับวันนี้ให้โอกาสตัวเองกับสิ่งที่จะทำในอนาคต มันยังมีเวลาที่เหลืออีกตั้งเยอะแยะ ธรรมะก็อาจจะเป็นส่วนหนึ่งก็ได้เพราะมันอยู่ในชีวิตเราอยู่แล้ว บางทีไม่ได้ไปวัด แต่ดูรายการ อ่านหนังสือมันก็ได้ข้อคิดจากรอบตัวเรา ซึ่งเราก็ไม่ได้ทำอะไรเป็นพิเศษ"

ชีวิตจริง “หมิว” ไม่ดราม่า เพราะทำใจและได้กำลังใจดีจากลูกชายทั้งสองคน แต่ชีวิตในละคร “ล่า” ที่รับเล่น เป็นบทที่โหดมาก และคงจะไปกระแทกใจใครหลายๆ คน

“บทนี้ก็สุดๆ แล้วค่ะ เป็นเรื่องที่บทดีมากๆ ได้รับการติดต่อเข้ามาเมื่อ 2 ปีที่แล้ว แต่ตอนนั้นทางค่ายยังไม่พร้อมที่จะเปิดกล้อง เรื่องนี้ก็ค่อนข้างที่จะโหดอยู่เหมือนกันในแง่ของการทำงาน ก็คิดว่าคงจะรับเรื่องนี้ก่อน แล้วก็เดี๋ยวเรื่องต่อไปก็คงต้องรอ น่าจะเป็นปีหน้าเลย ก็ไม่ได้รับงานเยอะและก็เป็นโชคดีเป็นโอกาสที่รับเรื่องล่า เพราะถ้าไม่รับตอนนั้นก็เสียดายโอกาสนี้เหมือนกันนะเรื่องดีขนาดนี้ ไม่ได้เข้ามาบ่อยๆ”

“คนอื่นอาจจะมองว่าทำไมเรารับบทหนักๆ มาหลายเรื่อง ก็ด้วยอายุมาก น่าจะเป็นเพราะอายุ ให้มาเล่นใสๆ ก็ไม่มีใครเขาเอา ก็ต้องให้เล่นอย่างนี้ แต่เราโชคดีที่ได้เรื่องดีๆ มาให้เราเล่น ทำงานมาขนาดนี้ ก็คงไม่จำเป็นต้องเลือกว่าจะเป็นบทไหน ทุกตัวสำคัญหมด ทุกตัวในละครเรื่องหนึ่งก็มีความสำคัญเท่ากัน ถ้าเรารับได้เล่นได้เราก็จะรับ"

"สำหรับเรื่องล่าตอนนี้เรายังบอกไม่ได้ว่ามันจะเรียลขนาดไหน จนกว่าจะถึงวันถ่ายเลย เพราะตอนนี้ยังไม่ได้เปิดกล้อง และคิดว่าอยู่ที่ผู้กำกับด้วย วิถีการพัฒนาเรื่องของกล้อง ของทุกอย่างด้วย เพราะว่าเมื่อก่อนเราเล่นมาตั้งแต่กล้องหนองแขม ที่ขาตั้งกล้องใหญ่ๆ จนพัฒนามาเป็นกล้องขาเล็ก จนเดี๋ยวนี้มาเป็น HD ซึ่งเมื่อก่อนก็ตัดกล้องอีกแบบหนึ่ง แต่โดยหลักๆ ของการแสดงน่าจะอยู่ที่ผู้กำกับ แต่ละคนไม่เหมือนกัน เราก็เล่นตามผู้กำกับบอก ไม่ได้เล่นเป็นตัวเราเองทั้งหมด เพราะเวลาเรารับละครเรื่องใหม่ เราก็จะเริ่มนับหนึ่งใหม่ทุกเรื่อง จะพยายามเป็นอย่างนั้น เราคิดว่าเราน่าจะเป็นส่วนหนึ่งที่เราคิดเอาไว้มากกว่า มันจะสะดวกกับการทำงานของทุกฝ่ายด้วย"

"และจริงๆ นักแสดงอิสระหลายคนไม่ว่าจะเป็นช่อง 7 หรือช่องวัน ก็ไปช่อง 3 ได้เหมือนกัน มันก็น่าจะเป็นเรื่องโอเคนะ คือเหมือนกับบางทีเราก็มาหาประสบการณ์ข้ามช่องบ้าง แล้วเขาก็เป็นพันธมิตรกัน คนช่องวันก็ไปเล่นช่อง 3 เยอะ เป็นเหมือนโครงงานแลกเปลี่ยน เพราะเวลาเรารับละครสักเรื่องเราก็จะเลือกที่เราอยากเล่น อย่างเรื่องล่าที่ตอนนี้กำลังถ่ายอยู่ก็ท้าทายนะคะ เป็นบทประพันธ์ที่มาทำเป็นบทโทรทัศน์ได้ดังมากๆ ในยุค 20 ปีที่แล้ว และก็เป็นที่น่าสนใจ”

“เรื่องราวของเรื่องนี้ก็ต้องกระแทกโดนใจคนพอสมควรนะคะ เพราะมันเป็นเรื่องความโศกเศร้าของแม่ลูกคู่หนึ่ง เป็นเหมือนโศกนาฏกรรมของชีวิต ก็รู้สึกว่ามันท้าทาย เราก็อายุขนาดนี้แล้ว เคยรับบทฆ่าคนน้อยๆ ก็มารับเล่นมาแล้ว พอมาเรื่องนี้ก็ฆ่าเยอะหน่อย แต่อันนี้ก็เป็นเรื่องของการแสดงไง แต่ถ้าเกิดในเรื่องของบทที่มันเป็นดราม่าเป็นชีวิตของสองแม่ลูกนี่ก็น่าสงสารมากๆ เลย"

"เวลาที่เล่นดราม่าหนักๆ เราก็ไม่ติดกลับบ้านนะ มันควรจะต้องหยุดตั้งแต่เรากลับบ้านแล้ว ก็ไม่รู้นะต้องถามคนที่บ้าน (หัวเราะ) อยู่บ้านเราก็ต้องเป็นตัวเรา ไม่ใช่ตัวละคร แต่ความเครียดมันก็ต้องมีสมาธิ กลับบ้านก็ปิดสวิซต์เพื่อเป็นตัวเรา ไม่ใช่ตัวละครตลอดเวลา ไม่งั้นไม่ไหวหรอก หนักตายเลย"

เล่นละครตั้งแต่เด็กยันจะ 50 เรียกว่ามีผลงานอย่างต่อเนื่อง แต่ละบทบาทที่ได้รับก็ล้วนแต่มีความโดดเด่นและสำคัญ จนได้รับฉายา “นางเอกตลอดกาล” เจ้าตัวบอกว่า รู้สึกกดดันที่ถูกยกเป็นไอดอล

"เราก็พยายามรักในอาชีพนักแสดง แล้วก็รับผิดชอบเท่าที่เราทำได้ให้ดีที่สุดตามมาตรฐานที่เราทำมาตั้งแค่เด็กๆ ก็คงความมีวินัย รับผิดชอบในบทเท่าที่เราจะทำได้นะคะ ทำหน้าที่ของนักแสดงให้ดีที่สุดเท่านั้นเอง นอกนั้นไม่มีอะไร คำว่าไอดอลนี่ยิ่งรู้สึกยิ่งกดดันเข้าไปใหญ่เลย พลาดไม่ได้เลยนะ ถ้าเป็นต้นแบบของอะไรก็ต้องพยายามทำให้เป็นมาตรฐานให้ดีที่สุด ตอนนี้น้องๆ ทุกคนก็ถือว่าเก่งกาจ ถ้าเขาชื่นชอบเราก็ถือว่าให้เกียรติแล้วกันนะ แต่น้องๆ ทุกคนพอถึงวันของตัวเองก็แสดงฝีมือ ต้องพัฒนาฝีมือตามระยะเวลาของการทำงาน บางทีการทำงานของเราอาจจะน้อยกว่าเขาด้วย เพราะบางคนปีหนึ่งรับตั้งหลายเรื่อง แต่เรา 2 ปีรับหนึ่งเรื่อง ก็ต้องมาเริ่มต้นใหม่ เราก็ไม่ถึงกับเก่งกาจอะไรขนาดนั้นหรอกค่ะ”

ไม่คิดทำงานเบื้องหลัง ชอบการเป็นนักแสดงมากกว่า

"ส่วนเบื้องหลัง ยังไม่อยากทำ เพราะไม่มีความสามารถไง(หัวเราะ) คนเป็นผู้จัดเขาต้องเก่ง เราไม่มีศักยภาพขนาดนั้น ชอบเป็นนักแสดง อันนั้นมันรับผิดชอบเยอะ รู้สึกว่าไม่สามารถที่จะทำงานใหญ่ขนาดนั้นได้ เพราะการเป็นผู้จัดมันใหญ่มาก และเรื่องเยอะเกิน รายละเอียดเยอะ ก่อนหน้านี้ก็มีคนถามว่าไม่ลองหรอ แต่เราก็บอกว่ายัง ขอเป็นนักแสดงไป เรารักสบาย(ยิ้ม)"