กลับมาเจอกันอีกครั้งกับเสาร์นี้ เสาร์ที่แล้วเราพาท่านผู้อ่านไปทำความรู้จักกับ “วู้ดดี้ วุฒิธร มิลินทจินดา” เจ้าของและพิธีกรรายการ “วู้ดดี้ เกิดมาคุย” และ “เช้าดูวู้ดดี้” ที่เราสัญญาว่าวันนี้จะเป็นภาคต่อของหนุ่มไฟแรง คนนี้ กับเรื่องราวที่หลายคนอยากจะรู้ และตั้งข้อสงสัยกันมาพักใหญ่ วันนี้เขามาให้คำตอบกับเราแล้ว คำตอบที่ว่าเป็นอย่างไร ติดตามอ่านกันเลยในหน้านี้ค่ะ
“ฟิต ฟิต ฟิต”
คุยงานมาเยอะแล้วขอถามเรื่องส่วนตัวบ้าง ดูเป็นคนงานเยอะ นอกจากงานแล้วทำอะไรบ้างวัน ๆ?“ออกกำลังกาย ตอนนี้ออกกำลังกายมาก่อน เราค้นพบว่าเวลาเราออกกำลังเนี่ยร่างกายจะมีการหลั่งสารอะไรบางอย่างมันทำให้เราไม่เครียด ทำให้สมองเราดีขึ้น ทำให้เราหุ่นดีขึ้น พอเราหุ่นดีขึ้น เรามองตัวเองในกระจกเราจะใส่อะไรก็ได้ เมื่อก่อนไม่กล้ามองตัวเองในกระจกเพราะว่าเราอ้วน ขนาดแปรงฟันผมยังไม่มองกระจกเพราะเคยมีคนบอกวู้ดดี้ว่าวู้ดดี้หน้าตาไม่ดี ค่าย ๆ หนึ่งที่เคยไปแคสต์หน้ากล้องแล้วเขาบอกผมว่าคุณหน้าตาไม่ดี ไม่พร้อมที่จะออกหน้ากล้องได้ แล้วมันฝังใจ
ก็มานั่งคิดทีหลังว่าทำไมเราประสาทอย่างนี้ แล้วก็ไม่เคยลดน้ำหนักเลยนะ จนสองปีที่ผ่านมาต้องไปสัมภาษณ์อั้มและต้องไปเดินแฟชั่นโชว์กับเขา ส้มเขาก็ไปขายลูกค้าว่าเดี๋ยววู้ดดี้จะต้องลดน้ำหนักภายใน 10 วันเพื่องานนี้ เขาไปขายมาอย่างนี้เราก็ต้องทำ แล้วเราก็เข้าฟิตเนสเลย และติดมาตั้งแต่นั้น หลังเที่ยงจะไม่กินแป้งเลย แต่วู้ดดี้ว่าผมฟิตกว่าสมัยก่อน และคิดไว้เลยว่าพออายุ 40-50-60 จะเป็นเหมือนพี่ต้อย ไตรภพ เอาเขาเป็นไอดอลในเรื่องของการดูแลสุขภาพ ใช้ชีวิต อาเขาตื่นมาวิ่งทุกวัน เขารักร่างกายของเขา ผมเลยไม่รอให้ถึง 50-60 ดูแลร่างกายตั้งแต่วันนี้เลยดีกว่า”
มีเป้าหมายจะถ่ายนิตยสารอะไรบ้างหรือเปล่า เพื่อเอาไว้ดูหรือเปล่า?“(หัวเราะ แล้วตอบทันทีว่า) ไม่มี ไม่เคยคิดจะถอดเสื้อผ้าถ่ายอะไรเลย วู้ดดี้รู้สึกว่าร่างกายเรา เราเอาไว้ดูเอง สองเอาไว้ให้คนที่เรารักไว้ดู สามเอาไว้ให้มันแข็งแรงพร้อมที่จะลุยงานได้ต่อ”
“ไร้สาระ”
นอกจากออกกำลังกายแล้วทำอะไรที่ไร้สาระกับเขาบ้างไหม เพราะดูคิดทุกอย่างเป็นงาน?“มีครับ ไม่รู้ไร้สาระหรือเปล่า แต่ผมชอบไปเมืองนอก เพราะมีความรู้สึกว่าไปทีไร มันเหมือนไปเปิดประสบการณ์ แค่คุยกับคนต่างชาติมันก็ได้ประสบการณ์ใหม่ ๆ ในเร็ว ๆ นี้อยากไปพม่า อยากไปดูมันเป็นยังไง แล้วผมยังชอบไปตามห้าง ไปหามุมหนึ่งนั่ง นั่งดูคนเดินไปมา แล้วนั่งฟังเขาคุยอะไรกัน แต่อยากรู้ว่าเขาคิดอะไรอยู่ เขาคุยกันอะไร มีหลาย ๆ อย่างที่เราคิดว่ามันใช่ แต่สำหรับคนอื่น ๆ มันอาจจะไม่ใช่ ผมไปหมดนะ สยามพารากอน ข้ามถนน บ้า ๆ บางทีก็ขึ้นรถเมล์ ไปตอนดึก ๆ นะ รถไฟฟ้า รถใต้ดิน ไปหมด ห้องสมุด โรงแรมไฮโซไปหมด ไปหาประสบการณ์หาอะไรใหม่ ๆ เพราะว่าวู้ดดี้เป็นคนขี้เบื่อ ส่วนงานมันอาจจะตามมาเอง ผมไปเพื่อความสนุกสนาน”
วู้ดดี้ดูเป็นคนทำงานตลอดเวลานะ คิดทุกอย่างเป็นงานหมด?“ครับ ตอนนี้ผมกลายเป็นคนหลับยาก บางทีต้องพึ่งยา เพราะสมองมันคิดตลอดเวลา บางทีผมเองนะ หลับตาแล้วบอกตัวเองว่าทำไมคิดอยู่ได้วะ ผมรู้ตัวนะว่าคิดมากไปจนไม่ได้อะไรออกมาดีเลย คิดมากไปก็เลยบอกไปว่า วู้ดดี้หยุดคิดออกไป เอาไว้อยู่ต่อหน้าลูกน้องแล้วค่อยคุย”
มีไหมที่แบบหายไปเลย แล้วไม่คิดงานเลย?“มีอย่างผมไปเยอรมนีมากับครอบครับ ก็ปั่นจักรยานไปเที่ยวโน่นนี่ แต่ก็สารภาพว่ามีแอบคิดงานเหมือนกัน ว่าจะต่อยอดยังไง (หัวเราะ) แล้วก็ให้เวลาตัวเองครึ่งชั่วโมง จดบันทึกในสมุดพก ถ้าเกิดไอเดียเจ๋ง ๆ แปลก ๆมันจะมีไอเดีย 2 แบบ คือแบบคิด ๆ ไปโอ้ปิ๊งว่ะ หรือว่ารายการน่าจะมีอะไรแบบนี้ แต่บางไอเดียก็จะมีความรู้สึกว่าคิดแล้วมันพอง แบบว่าการพูดจาดี ๆ แล้วยิ้มแย้มตลอดเวลา มันทำให้เราเจอแต่คนดี ๆ และเรื่องดี ๆ ตลอดเวลา แล้วใจมันยิ้ม เขาก็จะยิ้มกับเรา เขาต้องแพ้เรา เขาจะยิ้มให้เรา คิดแล้วใจเรามันก็จะพองขึ้นมา เลยตั้งชื่อสมุดเล่มนี้ว่า ปิงพอง คิดเอาว่าวันหนึ่งจะออกหนังสือหรือที่ชื่อว่าปิงพอง (หัวเราะ) เป็นภาษาอังกฤษที่แปลให้กับเมืองนอก”
“แฟน...วู้ดดี้”“มีครับ มีมาสักพักแล้ว แต่เราแค่มองว่า พอคุยไปปุ๊บมันก็จะเป็นการต่อยอด แล้วคนอยากจะรู้เยอะ เขาเป็นใคร มาจากไหนอะไรยังไง ซึ่งเรารู้สึกว่าเราไม่อยากพูดเพราะเราเป็นสื่อ เรามองว่าถ้าคนรู้เรื่องของวู้ดดี้มากเกินไปมันจะไม่สนุก เช่นเดียวกับความรักไง ถ้าวู้ดดี้ถามอย่างนี้เรื่องความรัก แสดงว่าวู้ดดี้รักมาแล้ว รักมากรักน้อยอะไรก็ว่าไป ยอมรับตอนนั้นคิดโง่ ๆ ไง แต่ล่าสุดไปออกกรีนเวฟ พี่ฉอดก็ถาม มันทำให้เรารู้สึกว่ามันไม่ใช่เรื่องเสียหาย ถ้าเรามีความรักแล้วเราไม่ได้พูดเรื่องความรัก มันน่าเสียดาย และน่าสงสาร และถือว่าเป็นการไม่ให้เกียรติคนที่เรารักด้วย ถ้าวันนี้เราเป็นอะไรไป ผมก็เลยกล้าพูดเรื่องนี้ แต่มันก็ไม่ได้เป็นอะไรที่มันสวยหรู หรือว่าหวาน เพราะว่าต้องเข้าใจกันว่าผมก็ทำงาน เขาก็ทำงาน”
ถูกจับตามองเยอะและมีข่าวมาเยอะ ทำให้เราระวังตัวในการไปไหนมาไหนไหม?“มีครับ เพราะเราคิดไปเองว่าเราถูกจับตามอง แต่เราลืมไปว่าสุดท้ายเราไม่เคยให้เกียรติตัวเองเลย เราลืมที่จะมีความสุข เราคิดว่ามันไม่สนุกอีกต่อไปแล้ว สมัยก่อนเข้าวงการใหม่ ๆ เห็นพี่ ๆ ดีเจ เขามีแฟนกันแล้วเขาปิดกันหมดเลย มันเหมือนถูกฝังหัวมา ไม่ได้เดี๋ยวเรตติ้งมันจะตก แล้วมีไอเดียนั้นมันติดหัวมาตลอด
แต่ล่าสุดก็มาคิดได้ว่าไม่เห็นจะเป็นเรื่องเสียหาย เราพูดได้ และความรักของเรามีตัวตน แต่ไม่ลงรายละเอียดอื่น ๆ เพราะเรารู้สึกว่านั่นคือรายละเอียดที่มันเป็นส่วนตัวของเราไปแล้ว เพราะเราไม่เคยพูด”
แล้วคิดว่าเราจะเปิดเผยเมื่อไร?“ผมคิดว่าถ้ามันพร้อม ผมก็จะเปิดเผย ผมจะพูดง่าย ๆ เลย ผมไม่เคยรู้สึกว่าจะต้องปกปิด ไม่เคยรู้สึกว่าสิ่งที่ผมทำ หรือว่าความสัมพันธ์ที่ผมมี มันเป็นสิ่งที่ผิด ผมไม่เคยคิดเลยว่า สิ่งที่ผมมีอยู่กับตัวเอง ที่เรียกว่าความรัก คนอื่นเห็นไม่ได้ อย่าเข้าใจผิด ผมไม่อยากให้คิดว่าทุกวันนี้ผมแอบความสัมพันธ์ จนกระทั่งเป็นอีแอบ อย่าเข้าใจผิด ผมไม่เคยแอบความสัมพันธ์ของผม แต่ผมรู้สึกว่าเรื่องส่วนตัว เดี๋ยวคนก็ได้เห็นเองเมื่อถึงเวลา และผมไม่ได้เป็นคนตั้งกติกา แต่ผมไม่ค่อยจะเป็นคนเดินห้าง ทุกวันนี้ เราทำงานเสร็จก็กลับบ้าน และอีกอย่างแฟนเราไม่ได้อยู่เมืองไทยด้วยมั้งคนเลยไม่เห็น”
“ผู้หญิง ผู้ชาย”“มีแต่คนสงสัย และมีแต่คนอยากรู้แต่ผมรู้สึกว่า ถ้าตอบไปมันไม่สนุก นั่นมันเป็นประเด็น และตั้งแต่ผมเข้าวงการเนี้ยมีแต่คนสงสัยมาก จนมาถึงวันนี้ผมมีความรู้สึกว่า มันเป็นอย่างเดียวที่ผมยังรู้สึกว่าเราตอบไม่ได้ตอนนี้ ผมยังไม่รู้สึกว่าเราหมดสนุกแล้ว เราอิ่มแล้ว ถ้าถึงวันนั้นที่ผมรู้สึกว่ามันอิ่มแล้วล่ะ ไม่สนุกแล้วแหละ วันนั้นผมจะตอบ”
สมมุตินะ ว่าถ้าถึงวันหนึ่งที่เรารู้สึกว่าความรักมันยิ่งใหญ่สำหรับเรา และคนนี้แหละที่ใช่แล้วสำหรับเรา และเรารู้สึกว่าเราอิ่มแล้ว เราไม่สนุกแล้วที่จะไม่พูดเรื่องนี้ และเราพร้อมที่จะเปิดแล้ว
คิดว่าเราเองจะรับเสียงวิจารณ์เหล่านั้นได้ไหม?“ผมว่าไม่ว่าจะเป็นอะไรก็ตามเราต้องรับได้ครับ เพราะว่าเรารักตัวเรา ครอบครัวเรา คนที่เรารัก ไม่มีใครมีสิทธิที่จะมาวิจารณ์เราเลยแม้แต่คนเดียว และผมรู้สึกว่าใครกล้าวิจารณ์ผมก็แล้วแต่เขา แต่ผมจะไม่เอามาคิดเลยแม้แต่หยดเดียว เพราะมันไม่มีค่าสำหรับผม ไม่เกี่ยวกับคนอื่น ในด้านความรักนะครับ ไม่เคยมองว่าสิ่งที่ผมทำมันจะส่งผล
กับคนอื่น หรือว่ามันไม่ดีต่อเยาวชน หรือแฟน ๆ นั่นอีกเรื่องหนึ่งคนละเรื่อง แต่ถ้าเป็นความรักผมไม่แคร์ ใครจะว่าอะไรเพราะมันคือความรักของผม”
แล้วพร้อมที่จะเปิดไหม ถ้าถึงวันที่วู้ดดี้บอกว่ามันอิ่มแล้ว พร้อมแล้วถึงเวลาแล้ว?“มันจะไม่มีบัตรเชิญ ไม่มีประกาศล่วงหน้า เราไม่คิดว่าคนอื่นจะให้ความสำคัญกับเราขนาดนั้น”
แต่สื่อให้ความสำคัญกับวู้ดดี้?“(หัวเราะ) ถ้าวันนี้มีสื่อ 300 คน ไปเปิดโรงแรมแล้วรอผมไปแจง หรือว่าสัมภาษณ์ผม วันนั้นผมจะพูด (หัวเราะ)”
แล้วถ้าสื่อยกขบวนกันมารอหน้าออฟฟิศวู้ดดี้ล่ะ?“(หัวเราะ) ผมว่าผมขอคิดดูก่อน ผมว่าความสัมพันธ์ของผมมันไม่น่าจะเป็นข่าวที่น่าสนใจเท่ากับ พูดตรง ๆ ว่า วันนี้แพนเค้ก แฟนคนต่อไปของเธอเป็นใคร คือที่ผมพูดแบบนี้ก็เพราะว่าผมไม่อยากจะเปิด ตรงนั้นมันเป็นพื้นที่เล็ก ๆ ของผม ผมมีความสุขมากในวันนี้ ผมชอบมาก แล้วพ่อแม่โอเค สำหรับผมมันจบแล้วนะ เราไม่ต้องไปให้ใครเห็นอะไรทั้งสิ้น คนที่เรารักเข้าใจเราหมดแล้วมันจบแล้วนะ”
แฟนเราเข้าใจตรงนี้ไหม?“เขาเข้าใจมานานแล้ว มันเป็นเหมือนข้อตกลงด้วยซ้ำไปว่า งาน คนดู ลูกน้องและสิ่งที่เราจะสร้าง ทุกอย่างต้องมาก่อน และนั่นแหละคือจุดยืนของผม ผมมีจุดยืนชัดเจน เราไม่ได้วิ่งหนีอะไรบางอย่างและไม่ได้ต้องการซ่อนด้วย แต่เรามีอะไรที่เราต้องปกป้อง ผมชัดเจน ผมมีจุดยืน ตรงนี้เลยอยากจะให้ทุกคนเข้าใจผมด้วยนะครับ”
แน่นอนเราเข้าใจวู้ดดี้ ในพื้นที่ของชีวิตคนเราย่อมจะมีพื้นที่ส่วนตัวเล็ก ๆ เป็นของตัวเอง ไม่ว่าคนคนนั้นจะทำอาชีพอะไร และตรงนี้เรานับถือคุณจริง ๆ ในเรื่องของความมุ่งมั่นในการทำงาน ความพยายาม และความตั้งใจเกินร้อย ที่จะสร้างงานเพื่อประเทศ.
© 2011 - 2026 Thai LA Newspaper 1100 North Main St, Los Angeles, CA 90012