Inside Dara
สัญญาณอันตราย “ไร่ส้ม” จ่อแววเจ๊ง เรตติ้งฮวบ โฆษณาหด พิธีกรแป้ก

นับจากที่นักเล่าข่าวคนดัง “สรยุทธ สุทัศนะจินดา” มีเหตุให้ต้องยุติบทบาทการทำหน้าที่พิธีกรรายการข่าวของตัวเองลง ภายหลังถูกศาลชั้นต้นพิพากษาจำคุก เป็นเวลา 13 ปี 4 เดือน ในความผิดฐานสนับสนุนพนักงาน บริษัท อสมท จำกัด (มหาชน) ทุจริตเงินโฆษณาส่วนเกิน จำนวน 138 ล้านบาท เมื่อวันที่ 3 มี.ค.2559 ซึ่งล่าสุดมีการสืบค้นมาว่า มูลเหตุที่ทำให้สรยุทธจำต้องหายไปจากหน้าจอทีวี หาใช่เพราะเกิดจากกระแสกดดันของนักวิชาการ และคนในวงการวิชาชีพสื่อมวลชน ที่ออกมาเรียกร้อง และถามหาจริยธรรมให้กับคนในวงการสื่อ รวมถึงการประกาศถอนตัวของผู้สนับสนุนรายการ ทว่ามาจากการที่ บริษัท อสมท จำกัด (มหาชน) ได้ทำหนังสือแจ้งถึงกรรมการผู้จัดการบริษัท บางกอกเอ็นเตอร์เทนเม้นต์ จำกัด (ช่อง 3) เมื่อวันที่ 2 มี.ค.2559 เพื่อขอให้ช่อง 3 ระงับการดำเนินรายการต่างๆ ทางสถานีโทรทัศน์ทีวีสีช่อง 3 ของสรยุทธ

สิ่งที่ตามมาก็คือการจับจ้องถึงทิศทาง และก้าวย่างต่อไปของรายการยอดนิยมอย่าง “เรื่องเล่าเช้านี้” ภายใต้การดำเนินงานของบริษัท ไร่ส้ม ว่าจะแก้เกมนี้ได้อย่างไร ในวันที่ไร้เงาของสรยุทธ ที่เป็นเสมือนเครื่องหมายการค้าประจำรายการมาตลอดระยะเวลากว่า 1 ทศวรรษ

กล่าวคือถ้าตัดเรื่องคดีความเกี่ยวกับการทุจริตออกไปก่อน แล้วมาพูดกันถึงเรื่องเนื้องานเน้นๆ ก็ต้องยอมรับว่า สรยุทธเป็นนักเล่าข่าวฝีมือฉกาจ มีลีลา มีลูกเล่น และชั้นเชิงที่หาคนเทียบเคียงได้ยาก แม้นัยหนึ่งจะถูกค่อนว่าลูกเล่น ลีลา และชั้นเชิงที่ก่อร่างสร้างให้เขาโด่งดังขึ้นมาอยู่ในระดับเทพของวงการข่าว ก็ล้วนมีต้นแบบมาจาก “สุทธิชัย หยุ่น” หัวเรือใหญ่ของค่ายเนชั่น ที่เป็นเวทีแจ้งเกิดของเขาก็ตามที

ฉะนั้นแล้ว คำถามที่ตามมาก็คือ เมื่อสรยุทธไป แล้วใครจะมาแทน !!??

คนแรกที่ถูกดึงตัวกลับมาเสริมทัพ ก็คือ “กุ๊ก-กฤติกา ขอไพบูลย์” ที่คัมแบ็คกลับมานั่งเก้าอี้ตัวเดิมอีกครั้ง รวมถึงผู้ประกาศข่าวในช่องอีกหลายคน ที่ถูกเรียกมารับลูกต่อ โดยการสลับสับเปลี่ยนมาทำหน้าที่เล่าข่าวในแต่ละช่วง มีทั้ง “ไก่-ภาษิต อภิญญาวาท”, “ข้าวนึ่ง-วิสารท เดชกุล”, “อิ๊บ-ปิยณี เทียมอัมพร” ฯลฯ โดยยังคงมี “ไบรท์-พิชญทัฬห์ จันทร์พุฒ” เป็นตัวหลัก เข้าใจว่าอาจจะเป็นช่วงที่ต้องลองผิดลองถูก ลองว่าใครเหมาะกับช่วงไหน ใครเหมาะที่จะจับคู่กับใคร แต่กลับกลายเป็นว่าทำให้รายการดูขาดเอกภาพ และอ่อนพลังลง

ไม่แปลกเลยที่ “เรื่องเล่าเช้านี้” ในระยะผลัดใบนี้ จะถูกรายการข่าวของช่องอื่นๆ ในช่วงเวลาเดียวกัน เบียดแซงขึ้นมาอยู่หัวแถวแทนที่ โดยเฉพาะช่องคู่แข่งตลอดกาลย่างช่อง 7 ที่มีรายการ “เช้านี้ที่หมอชิต” และ “สนามข่าว 7 สี” ที่ตอนนี้เร็ตติ่งพุ่งขึ้นมาเป็นอันดับหนึ่ง ขณะที่ “เรื่องเล่าเช้านี้” ถูกผลักหล่นไปอยู่อันดับ 2 โดยฐานคนดูหายไปล้านกว่าคน เพราะส่วนใหญ่ยึดติดกับตัวบุคคลมากกว่าเนื้อหาสาระที่นำเสนอ

พูดง่ายๆ ก็คือเมื่อไม่มีสรยุทธให้ติดตามเหมือนเดิม ก็เลยหันไปเป็นแฟนคลับของรายการข่าวเช้าของช่องอื่นแทน และถ้าปล่อยให้เรื้อรังแบบนี้ไปเรื่อยๆ แน่นอนว่าในระยะยาวย่อมจะส่งผลถึงบรรดาโฆษณาที่จะต้องถอนตัวออกไป เพื่อไปสนับสนุนรายการอื่น ช่องอื่น ที่มีเรตติ้งเหนือกว่า

ทางรอดอย่างเดียวของ “เรื่องเล่าเช้านี้” ก็คือต้องพยายามดิ้นรนกอบกู้ชื่อเสียง และเรตติ้งของตัวเองกลับคืนมาโดยเร็ว

และเมื่อโมเดลของรายการข่าวเช้าถูกมองว่า แต่ละช่องแข่งขันกันที่ตัวบุคคล มากกว่าจะโฟกัสไปที่เนื้อหาของรายการ เพราะประเด็นข่าวที่แต่ละช่องนำเสนอ ส่วนใหญ่ก็ไม่ได้หนีกันเท่าไหร่ รายการ “เรื่องเล่าเช้านี้” จึงพยายาม “หนีตาย” ด้วยการควานหาใครสักคนที่จะต้องมาทำหน้าที่เป็นตัวตายตัวแทนสรยุทธให้ได้เร็วที่สุด ก่อนที่วิกฤตของการถูกถอนโฆษณาจะมาถึง

ชื่อของ “พุทธ-อภิวรรณ องค์พระบารมี” ถูกจับตามองขึ้นมาทันทีว่าจะเป็นคนคนนั้น !!

หลังจากมีการออกหนังสือยืนยันจาก “อมรินทร์ ทีวี” ต้นสังกัดเดิมว่าเขายื่นใบลาออกจากการเป็นพิธีกรรายการ “ทุบโต๊ะข่าว” เพื่อไปรับเงินเดือน 7 หลักที่ช่อง 3 และการที่เขาถูกคาดเดาว่าจะมารับหน้าที่เล่าข่าวในรายการ “เรื่องเล่าเช้านี้” เหตุก็เพราะมีบุคลิกและสไตล์การอ่านข่าวที่ถอดแบบมาจากสรยุทธแทบจะทุกกระเบียดนิ้ว เหมือนกับที่ครั้งหนึ่งสรยุทธก็เคยถูกมองว่าลอกแบบ คาแรกเตอร์ของ “สุทธิขัย หยุ่น” ดังที่กล่าวมาแล้วข้างต้น

ทว่าผ่านไปเพียงไม่กี่วัน ทางอมรินทร์ทีวี ก็ออกหนังสือชี้แจงเรื่องการกลับมาทำหน้าที่ของ “พุทธ-อภิวรรณ องค์พระบารมี” อีกครั้ง ท่ามกลางการถูกจับตามองถึงการกลับไปตายรังเดิมในครั้งนี้ว่า อาจจะเจอกระแสต่อต้านจากลูกหม้อเก่าของช่อง 3 หรือไม่ก็ตกลงกันในเรื่องของผลตอบแทนไม่ลงตัว

พอชื่อของพุทธ-อภิวรรณถูกตัดตกไป คำถามเดิมว่าใครจะมาแทนสรยุทธก็ถูกนำกลับมาถกกันต่ออีกครั้ง

และคนส่วนใหญ่ก็เข้าใจ (ไปเอง) ว่าพบคำตอบแล้ว เมื่อจู่ๆ “น้าเน็ก-เกตุเสพย์สวัสดิ์ ปาลกะวงศ์ฯ” หนึ่งในพิธีกรฝีปากกล้า โพสต์ภาพคู่กับสาว “ไบรท์-พิชญทัฬห์” ในเฟซบุ๊ก “Nanake555” พร้อมข้อความระบุว่า จะไปเริ่มงานใหม่เป็นพิธีกรข่าวใน “เรื่องเล่าเช้านี้” โดยจะเริ่มงานในวันจันทร์ที่ 25 เมษายนนที่ผ่านมา

งานนี้ทำเอาผู้คนต่างก็วาดภาพกันไปต่างๆ นานา ว่าหากน้าเน็กต้องมาทำหน้าที่เล่าข่าวในรายการ “เรื่องเล่าเช้านี้” แทนสรยุทธ ซึ่งจะต้องอาศัยความน่าเชื่อถือเป็นหลัก Mood & Tone จะเป็นยังไง เพราะคาแรกเตอร์ที่ออกแนวทะลึ่ง ทะเล้น มันขัดกับรูปแบบรายการชนิดขาวกับดำ

ครั้นพอสายๆ ของวันที่ 25 เมษายน ทุกอย่างก็ถูกเฉลย ว่าแท้จริงแล้ว น้าเน็กไมได้มานั่งเก้าอี้แทนสรยุทธ ไม่ได้ทำหน้าที่แบกรับการเล่าข่าวตลอดทั้งรายการ เพียงแต่รับมอบหมายให้ดูแลในช่วง “ครอบครัวบันเทิง” ซึ่งบ้างก็ว่าแทน “เบ๊นซ์-พรชิตา” ที่จะต้องเตรียมตัวไปคลอด บ้างก็ว่าแทน “โก๊ะตี๋” ที่ไปจรดปากกาเซ็นสัญญากับช่อง True4u ด้วยสนนค่าตัวที่ว่ากันว่าสูงถึง 25 ล้านบาท

แต่ไม่ว่าจะแทนแบ๊นซ์ หรือแทนโก๊ะตี๋ก็ตามแต่ ก็ต้องถือว่าน้าเน็กทำหน้าที่ของตนเองได้อย่างสมบูรณ์ แม้จะมีบ้าง ที่ยังติดกับสไตล์ทะลึ่ง ทะเล้น และใช้คำพูดสองแง่สองง่าม ทุกคนก็พร้อมจะมองข้าม ขนาดในแฟนเพจของ “อีเจี๊ยบเลียบด่วน” ยังถึงกับเสียดายว่าความสามารถของน้าเน็กไม่สมควรจะถูกจำกัดอยู่แค่ช่วง “ครอบครัวบันเทิง” ช่วงเดียว แต่ควรที่จะเป็นพิธีกรหลักของรายการด้วยซ้ำ โดยให้ความเห็นว่าเป็นการเสียของ เหมือนเอาซามูไรมาหั่นผัก

อย่างไรก็ตาม การมาของน้าเน็กก็เป็นสัญญาณที่ทำให้เราๆ ท่านๆ มองเห็นว่า สถานการณ์ในยามนี้ของบริษัทไร่ส้มอยู่ในภาวะวิกฤตขนาดหนัก ถ้าเป็นคนไข้ก็ต้องเรียกว่ากำลังพะงาบๆ อยู่ในห้อง ICU. ฉะนั้นจึงจำเป็นที่จะต้องมีอัศวินขี่ม้าขาวมาช่วยกอบกู้

และน้าเน็กก็คือไม้ตายสุดท้าย ที่สรยุทธมุ่งหวังว่าจะยืมมือมาช่วยช่วงชิงความเป็นที่หนึ่งให้กลับมา ก่อนที่รายการจะถูกถอด เพราะเรตติ้งตก และถูกถอนโฆษณาจนหมดตัว !!