Inside Dara
‘ปั้นจั่น’เติบโตเรียนรู้มุ่งสู่อนาคตอย่างมีคุณภาพ

ช่วงนี้ถ้าเราไม่พูดถึงหนุ่มคนนี้คงไม่ได้เลย เพราะว่าเขากำลังมาแรงจริง ๆ จากละครเรื่อง “บางระจัน” ที่เดินทางมาถึงตอนจบของเรื่องแล้ว และแน่นอนในละครเรื่องนี้ทำให้นักแสดงหลายคนได้แจ้งเกิดในวงการ รวมถึงหนุ่มคนนี้ด้วย “ปั้นจั่น-ปรมะ อิ่มอโนทัย” กับบท “สังข์” ที่ทำให้เห็นพัฒนาการด้านการแสดงของหนุ่มคนนี้ได้อย่างชัดเจน และทำให้คนจดจำเขาได้มากขึ้น จนถึงขั้นมีแฟนคลับเป็นกลุ่มเป็นก้อน และแน่นอนฮอตขนาดนี้ เราต้องขอคิวมานั่งพูดคุยกันแล้วหน่อย ซึ่งตอนนี้ ปั้นจั่น พร้อมแล้วที่จะเปิดใจถึงทุกเรื่องราวในชีวิต

เข้าวงการมาหลายปี แต่มาดังเอาละครเรื่องนี้ ระหว่างทางกว่าจะมาถึงวันนี้เป็นยังไงบ้าง?

“เหนื่อยครับ มันก็มีองค์ประกอบหลาย ๆ อย่าง แต่ก็มาจากตัวเราซะเป็นส่วนใหญ่ โอกาสมันก็มีที่เปิดให้ แต่โอกาสที่ดีมันก็ไม่ได้มาบ่อย ๆ ฉะนั้นพอเวลามันมาเราต้องรีบฉกฉวยไว้ มันเหมือนผมรอเวลาที่จะได้งานสักชิ้นหนึ่ง รอโอกาสที่จะได้โชว์ฝีมือสักครั้งหนึ่งเพื่อให้ได้มีคนเห็น แล้วพอประจวบเหมาะกับช่วงนี้ที่ได้เล่นละครเรื่อง บางระจัน ได้ทีมงานที่ดี ได้บทที่ดี ได้เพื่อนร่วมงานที่ดี มันเลยทำให้หลาย ๆ คนจำและรู้จักผมมากขึ้น”

ถือว่าวันนี้เราประสบความสำเร็จหรือยัง?

“สำหรับละครบางระจัน ผมถือว่าผมประสบความสำเร็จ แต่ในฐานะนักแสดงยังคงอีกไกลครับผม”

แล้วสำหรับตัวปั้นจั่นเอง ในวันนี้พอโตขึ้นแล้ว เปลี่ยนไปมั้ย?

“ตอนนี้คนเก่า ๆ เขาก็ยังเห็นปั้นจั่น ยังเป็นเด็กกวนตีน ใจร้อน ดูเข้ม ดูเพลย์บอย แต่ว่าหลัง ๆ พอเราเจอทีมงานใหม่ ที่ใหม่ เราได้พิสูจน์ให้เขาเห็นบางอย่าง เวลาที่เราทำงาน เรารับผิดชอบเต็มที่ และอาจจะเป็นด้วยวุฒิภาวะ ที่พอเวลาผ่านไปมันทำให้เราโตขึ้น ฉะนั้นหลายคนก็จะเปลี่ยนมุมมองความคิดแล้วว่ามันเปลี่ยนไปอีกแบบหนึ่งเลย เราโตขึ้นในการทำงาน เปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้น รับผิดชอบ ตรงเวลา ความใจร้อนลดลง และยังเป็นคนตัวเล็ก ๆ คนหนึ่งครับ”

ย้ายสังกัด ทำให้คนมองว่าพอดังแล้วทิ้งค่ายสังกัดเก่า?

“ไม่นะ เพราะว่าผมก็ยังทำรายการให้ต้นสังกัดเก่าอยู่นะ เราก็คิดอยู่เสมอว่า เรามาจากไหน แล้วก็ต้องถ่อมตัว ทำตัวให้เล็กที่สุดไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน และอาร์เอส เฮียกับซ้อ ก็ยังเป็นผู้มีพระคุณสูงสุดของผม ที่หยิบผมขึ้นมาให้ทำเพลงและได้มาทำงานในวงการนี้ แต่พอเราโตขึ้น เราไปเจออีกที่หนึ่งแล้วผู้ใหญ่อีกที่หนึ่งก็ให้โอกาส ให้ผมได้ทำงานที่ผมรักและได้โชว์ฝีมือจริงๆ อันนี้คือสิ่งที่ผมประทับใจมาก ทั้งทีมงานและพี่ ๆ ร่วมถึงนักแสดงร่วมทุกคนก็น่ารัก ผมรู้สึกเหมือนอยู่เป็นครอบครัว และเห็นคุณค่าผม และรู้ว่าผมสามารถที่จะทำอะไรได้บ้าง แต่ผมก็ไม่เคยลืม ว่าคนแรกที่ให้โอกาสผมคือใคร”

กว่าจะมาถึงวันนี้ท้อแท้บ้างมั้ย?

“ไม่เคยท้อแท้ครับ เพราะเราท้อแท้ ไม่ได้ เพราะถ้าท้อแท้ เราจะถอยหลัง ที่ผ่านมาผมรอโอกาส ว่าเราจะได้โอกาสไหน และไม่เกี่ยงว่าจะเป็นบทอะไร เงินเท่าไร เพราะมีอะไรเราทำหมด คือช่วงนั้นเราหาตัวเองว่าเราถนัดทางไหน พิธีกร เราทำได้ดีหรือเปล่า การแสดงถ้ามีโอกาสมาเราทำได้มั้ย และเมื่อมีโอกาสมาเราได้ลอง ทีนี้เรารู้แล้วว่าเราชอบอะไรมากที่สุด สุดท้ายเราก็มาเจอว่า การแสดงคือสิ่งที่เราชอบที่สุด และอยากจะทำให้ดีที่สุด”

ตอนนี้มีแฟนคลับด้วย?

“คือเมื่อก่อนตอนออกเทปก็พอจะมีแฟนคลับอยู่บ้าง แต่ระยะหลัง ๆ ก็หาย ๆ กันไป และช่วงนั้นผมเองก็ไม่ค่อยได้เทคแคร์พวกเขาเท่าไร แต่พอได้มาเล่นละคร กับทางช่อง 3 กับบรอดคาซท์ ก็มีคนรู้จักมากขึ้น คนที่ห่างหายไปก็กลับมา แฟนคลับก็กลับมาและเพิ่มมากขึ้นกว่าเดิมเยอะด้วย และเรากลับรู้สึกว่าเราต้องใส่ใจเขาแล้ว คือตอนเป็นนักร้องเราไม่เคยคิดหรือรู้สึกว่าเราเป็นต้นแบบของใครหลาย ๆ คน แต่พอตอนนี้เรารู้สึกว่าเราเป็นต้นแบบ หรือว่าอาจจะเพราะว่าเราโตขึ้น เพราะฉะนั้นการใช้ชีวิต การออกไปข้างนอก เราต้องระวังตัว เราต้องเป็นตัวอย่างที่ดี เราต้องแต่งตัวนะ เราต้องดูดี (หัวเราะ) แต่ก่อนใส่กางเกงขาสั้น รองเท้าแตะ หรือว่าทำตัวเต๊ะจุ๊ย แบบเราไม่แคร์สื่อ เราไม่แคร์ใคร เพราะตัวเราเป็นของเราแบบนี้ (หัวเราะ) ไม่ได้แล้ว”

ขอถามเรื่องความรักบ้าง เห็นว่าแฮปปี้มากช่วงนี้?

“ความรักครั้งนี้ของผมมันเรียบง่ายมาก คืออย่างแรกเหมือนเรามีเพื่อนอยู่นอกวงการ ไม่ได้จีบคนในวงการ แต่เวลาก็ไม่มีเพราะเขาทำงานประจำ เขามีธุรกิจส่วนตัว ตัวผมเองก็ทำงาน 7 วัน เวลาที่เจอกันก็คือเหมือนผู้ใหญ่คุยกัน โอเค เราว่างค่อยเจอ หรือว่าแค่บอกว่าวันนี้ทำงานอยู่ตรงนี้นะ ไม่หวือหวา ไม่เปิดตัว ไม่อะไรทั้งสิ้น เขาเองก็อยากจะมีความเป็นส่วนตัว คือเมื่อก่อนผมเคยรู้สึกว่าทำไมจะต้องปิด เพราะผมก็เคยเปิด แล้วเราก็มีปัญหา ที่จริงตัวผมเองผมไม่ได้ปิด แต่อีกฝั่งหนึ่งเขาขอ อาจจะเพราะว่าเขาเองยังไม่พร้อม หรือว่ายังไม่มั่นใจในตัวเองหรือเปล่า หรือว่าถ้าเลิกกันแล้วเขาจะอาย ซึ่งอันนี้ผมเข้าใจร้อยเปอร์เซ็นต์เลย เพราะเขาเป็นผู้หญิง สมมุติพอเป็นข่าว แล้วพอเลิกกัน เขาจะแบบเอ๊า...คนนี้เคยเป็นแฟนไอ้ปั้นไง เขาก็อายเนอะ ซึ่งเข้าใจได้เลย เพราะฉะนั้นรอแบบมั่นใจแล้วเปิดทีเดียวเลยดีกว่า”

เลิกเจ้าชู้หรือยัง?

“เลิกครับ เพราะว่าผ่านประสบการณ์มาเยอะเหมือนกัน ทั้งที่แบบทำให้เขาเสียใจและเราเสียใจเอง แต่ว่าเวลาที่เจอผู้หญิงน่ารักก็ยังมีนะ ที่แบบคุยกันเป็นเพื่อน เป็นน้อง เป็นพี่ ก็เป็นปกติ แต่แบบไม่มีขอไลน์ ไม่ไลน์ไปคุย แบบนี้ไม่มีแล้ว”

คนนี้มีอะไรที่มัดใจปั้นได้?

“เขาเป็นผู้ใหญ่ เขาเอาผมอยู่ คือผมใจร้อน แต่เขากลับเป็นคนที่มีความเป็นผู้ใหญ่สูง ผมไม่รู้จะใช้คำว่าอะไร แต่เวลาที่ผมจะทำอะไร ผมก็เกรงใจ เขาเป็นคนที่แบบไม่โวยวาย ไม่บ่น ไม่ด่า และมารยาททางสังคมเขารู้เรื่อง เขาเป็นคนฉลาดมาก เราคบกันมาได้ประมาณปีกว่าแล้วครับ และในเรื่องพ่อแม่ ผมก็เจอฝั่งเขาบ่อยครับ แต่ของบ้านเราเขามาเจอครั้งสองครั้ง คือที่บ้านรู้ว่าคนนี้เป็นเพื่อนกันอยู่”

ใช้คำว่าเพื่อน ยังไม่เรียกแฟนเหรอ?

“ยังไม่กล้าเรียกครับจริง ๆ กลัวว่ามันจะเกิดอะไรขึ้น เดี๋ยวทางเขาจะเสียหายอีก”

ตั้งแต่คบมาคนนี้นานสุดหรือเปล่า?

“คือผมจะมีตัวเลขอาถรรพณ์อยู่คือ 2 ปีครับ ผมไม่เคยคบใครเกิน 2 ปี มันจะมีเหตุให้เลิกกันตลอด มันจะมีแบบไม่ผมเลิกกับเขา เขาก็จะต้องทิ้งผม คนนี้ยังไม่ถึง 2 ปี แต่ถ้ามันไปได้ผมก็ว่าน่าจะยาวครับ ผมก็พยายามทำให้ดีที่สุด ที่ผ่านมาส่วนใหญ่สิ่งที่มันพลาด มันก็เกิดจากอารมณ์ของเราเอง แต่ตอนนี้เย็นลงเยอะ และเย็นลงเกือบจะทุกเรื่องแล้ว ถ้าเป็นเรื่องงานจะเย็นลงมาก ๆ ส่วนกับคน ก็เย็นลง เพราะเรามีวิธีการจัดการกับมันได้แล้ว แต่ก็ยอมรับว่ายังไม่สามารถที่จะอยู่เหนือมันได้ 100 เปอร์เซ็นต์ แต่ถามว่าดีกว่าแต่ก่อนไม่ ดีกว่ามาก ถ้าเย็นลงแล้วผมก็คิดว่าน่าจะผ่านได้นะ”

ระหว่างงานกับความรัก อะไรมาก่อน?

“งานครับ งานมาก่อนเลยเพราะว่า มันเป็นปัจจัยในทุก ๆ อย่าง ชีวิตเราตอนนี้มันคืองาน ผมเป็นคนรักครอบครัว การที่งานดี ครอบครัวผมก็จะดีขึ้น แล้วการที่งานดี มันแสดงให้เห็นว่า ผมเป็นคนรับผิดชอบและเป็นผู้ใหญ่มากพอ ถ้าผมยังรับผิดชอบงานไม่ได้ ผมก็คงยังไม่สามารถไปรับผิดชอบใครอีก

คนได้ แล้วตัวเขาเอง เขาก็เป็นคนที่ทำงาน เพราะฉะนั้นเขาจะเข้าใจคนที่ทำงาน ว่างานมันต้องมาก่อน คือเราดูแลกัน ก็คือส่วนที่ดูแล เราเข้าใจตรงกัน เราซื่อสัตย์ต่อกันเราห่วงใยกัน ถึงแม้เราอยู่คนละที่ คุณมีอะไรที่ต้องรับผิดชอบก็ต้องรับผิดชอบให้ดีที่สุด ผมว่าถ้างานดี ความรักก็ดีนะผมว่า”

แพลนอนาคตในวงการไว้ยังไง?

“มันเป็นสิ่งที่ผมทำแล้วถนัดที่สุด คงอยู่ในวงการไปเรื่อย ๆ ตราบเท่าที่ยังมีผู้กำกับให้โอกาสเราได้ทำงานที่เรารัก และในขณะเดียวกัน เราก็ต้องดูแลตัวเราให้พร้อมกับงานที่จะเข้ามาด้วย และเราต้องพัฒนาฝีมือ หรือว่าเรื่องการเพิ่มรูปร่าง มันก็ต้องดูงานที่เราจะไปทำ คิดว่าคงอยากจะเก็บเกี่ยวประสบการณ์แล้วก็ไปกำกับภาพยนตร์สักเรื่อง อันนี้คือความฝัน แต่เป้าหมายจริง ๆ ของผมในฐานะนักแสดง ถ้าคนไทยถามว่า หนึ่งในห้านักแสดงที่มีฝีมือของประเทศนี้คือใคร ผมก็อยากจะเป็นหนึ่งในนั้นครับ”

อยากกำกับแนวไหน?

“เรื่องแนวยังไม่รู้ ผมว่าอายุสัก 40 หรือว่า 50 ก็ยังไม่สาย ตอนนั้นคงตกผลึกเต็มที่แล้ว สำหรับผมแล้ว ผมชอบหนังมากกว่าละคร แล้วก็เพิ่งมาค้นพบตัวเองว่าตัวเองชอบเล่นดราม่า แต่สายคอมเมดี้ ก็ยังต้องเรียนรู้อีกเยอะ และยากสำหรับผมนะ หลายคนบอกว่าชีวิตจริงเป็นคนตลก ไม่น่าจะยาก แต่พอไปเล่นเข้าจริง ๆ มันยากนะ ไม่รู้ซิ ผมว่าผมเล่นดราม่าได้ดีกว่าคอมเมดี้ แต่พอไปคอมเมดี้หรือว่าใส ๆ สบาย ๆ เราจะรู้สึกว่าเราจะเล่นยังไงดีนะ เราต้องปรับตัว แต่เราเป็นนักแสดงก็ต้องเล่นได้ทุกบทเนอะ”

สุดท้าย ให้พูดถึงบางระจันหน่อย?

“บางระจัน มีทุกรสชาติในละครเรื่องนี้ สนุกมากและก็ทรหดมากเหมือนกันในเวลาถ่าย และละครเรื่องนี้ก็ให้อะไรผมเยอะมาก ๆ นะ ผมได้อะไรมาหลายอย่างมาก อย่างแรกเลยคือความอดทน เพราะบางระจัน เป็นละครที่โหดมาก (หัวเราะ) มันกินกับดินกินกับทราย สภาพอากาศเปลี่ยนตลอดเวลา ร้อนจัด หนาวจัด ได้เรียนรู้การทำงานเป็นทีม ผมเพิ่งรู้ว่าการทำงานเป็นโปรเจคท์ใหญ่ ๆ เมื่อไหร่ที่เราร่วมเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน งานมันจะออกมาได้ดีแล้วก็มีแต่ความราบรื่นในการทำงานและอีกอย่างคือ มิตรภาพเป็นสิ่งสำคัญ เรื่องนี้เด็กผู้ชายเยอะ แต่ไม่มีอีโก้ ไม่มีอิจฉา ไม่มีใครทำให้รู้สึกว่าต้องแข่งกัน มีแต่ช่วยเหลือกัน มันเลยทำให้เรารู้สึกว่า การทำงานแบบนี้ยังมีในโลกนี้นะ รักทุกคนจริง ๆ ครับในละครเรื่องนี้ และภูมิใจมากครับที่ได้เล่นละครเรื่องนี้”

เส้นทางสายนี้ของปั้นจั่น พูดได้เลยว่าอนาคตสดใสแน่นอน เพราะกว่าจะมาถึงวันนี้มันก็ไม่ได้ง่ายสำหรับเขา เพราะฉะนั้นเราก็ต้องให้กำลังใจ หนุ่มคนนี้กันต่อไปนะจ๊ะ.