Inside Dara
“ ท๊อป จรณ” ในวันนี้ที่ให้ “งาน” มาก่อน “ความรัก”

“ท็อป จรณ โสรัตน์ ” คลื่นลูกใหม่ที่กำลังมาแรงกับละครเรื่อง “สามีตีตรา” ในบท ศิวา ที่สาว ๆ ต่างเทใจให้หนุ่มท็อป เพราะว่าไม่ว่าจะเล่นเรื่องไหนก็ได้รับความนิยมไปเสียทุกเรื่อง

ชั่วโมงนี้ถ้าเราเอ่ยชื่อนี้เราเชื่อแน่ว่าสาว ๆ คงต้องร้องกรี๊ด “ท็อป จรณ โสรัตน์ ” คลื่นลูกใหม่ที่กำลังมาแรงกับละครเรื่อง “สามีตีตรา” ในบท ศิวา ที่สาว ๆ ต่างเทใจให้หนุ่มท็อป เพราะว่าไม่ว่าจะเล่นเรื่องไหนก็ได้รับความนิยมไปเสียทุกเรื่อง โดยเฉพาะเรื่องล่าสุด สามีตีตรา ในบทหนุ่มเพลย์บอย ที่หลายคนมองว่าเอาชีวิตจริงมาเล่น และเมื่อฮอตขนาดนี้ เราจึงยกพื้นที่หนุ่มฮอต หนุ่มฮิพ ให้ จรณ ได้เปิดใจถึงเรื่องราวต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นกับการเปลี่ยนแปลงในชีวิต

“วิวัฒนาการ”
จากเรื่องสุภาพบุรุษจุฑาเทพ ต่อด้วยซิกเซ้นส์ เวียงร้อยดาว และล่าสุดสามีตีตรา พัฒนาการการแสดงของเราเป็นยังไงบ้าง?

“ก็ 4 เรื่องแล้ว ผมว่าก็น่าจะดีขึ้น เพราะหลาย ๆ คนก็ชม ทั้งคนทั่วไป กระแสในอินเทอร์เน็ต แฟนคลับ รวมถึงผู้ใหญ่ทางช่องก็ชมมา ซึ่งตรงนี้ผมก็ดีใจมาก เหมือนเราได้รับการยอมรับขึ้นมาอีกขั้นหนึ่ง แต่จุดบกพร่องก็มีให้เราเห็นเหมือนกัน คือยอมรับว่าไม่ได้มีแต่คำชมเท่านั้น คำติก็มีเหมือนกัน ทั้งเรื่องเสียงและวิธีการเล่นที่บางครั้งมันก็มีติดขัดบ้าง แต่ว่าโดยรวมแล้วมันก็ออกมาดีพอสมควร แค่นี้เราก็ดีใจแล้ว”

เหมือนช่วงนี้มีข่าวเยอะขึ้น?

“ใช่ มีข่าวเยอะขึ้น ผมก็ไม่รู้ว่ามันดีหรือไม่ดีนะ (หัวเราะ)”

“คนดัง”
ชีวิตเปลี่ยนไป คนจับตามองมากขึ้นมีแบบว่าอึดอัดบ้างไหม?

“ถามว่าอึดอัดไหม ก็ยอมรับว่ามีบ้าง คือเหมือนแบบเมื่อก่อนเราก็ฟรี ๆ จะทำอะไรก็ได้ อย่างไปเที่ยวกับกลุ่มเพื่อนจะมีใครไปก็ได้ผู้หญิงหรือผู้ชายก็ได้ และอยากจะเอารูปเพื่อนคนไหนลงไอจีก็เอาขึ้นได้ แต่ว่าตอนนี้มันต้องเปลี่ยนไปอย่างรูปในไอจีถ้าเอารูปเพื่อนที่เป็นผู้หญิงที่คนไม่รู้จัก มันก็อาจจะเป็นกระแสได้ มันจะต้องมีคำถามตามมาทันที เราก็เลยแบบว่างั้นเอารูปนางเอกที่เราเคยเล่นด้วยดีกว่า คือ บางทีมันก็ต้องคิดเยอะขึ้นหน่อย”

การแต่งตัวต้องเปลี่ยนไหม?

“คือ ผมก็ยังแต่งตัวเซอร์ ๆ เหมือนเดิม ไม่ค่อยเปลี่ยนมาก แต่เวลาออกงานก็ต้องละเอียดมากขึ้น ต้องมีแต่งหน้าทำผมอะไรแบบนี้”

ชีวิตส่วนตัวไม่ได้เปลี่ยนไปมาก?

“ใช่ครับ ชีวิตไม่ได้เปลี่ยน แต่ว่าในเรื่องของความคิดเปลี่ยนไปมาก”

พอมีชื่อเสียงมากขึ้นกลายเป็นรุ่นพี่เป็นไอดอลของน้อง ๆ?

“ผมเพิ่งเข้าวงการมาไม่กี่ปี กลายเป็นไอดอลแล้วเหรอ คือผมว่าเราก็ต้องเรียนรู้อีกมาก การแสดงมันไม่มีวันสิ้นสุด พี่สมรักษ์เคยบอกว่าการเล่นละครแต่ละเรื่องมันเป็นการนับหนึ่งใหม่หมด เพราะว่าเราต้องเล่นเป็นตัวละครตัวใหม่ ต้องเริ่มใหม่แต่ต้องทำออกมาให้เต็มที่และดีกว่าเดิมผมมองว่าการที่เราหยุดอยู่ที่เดิมมันเป็นสิ่งที่ไม่ดี เราต้องเรียนรู้อะไรเพิ่มจากตัวละครที่เราเล่นเลยในบทบาทใหม่ อย่างละครเรื่องล่าสุดที่กำลังถ่ายคือ เรื่อง ชาติพยัคฆ์ ต้องเป็นนักมวยเราก็ต้องไปเรียนมวย ไปฟิตเนส ต้องทำอะไรที่เปลี่ยนแปลงตัวเองให้มากที่สุด เพื่อให้คนดูได้สนุกสนานกับบทบาทใหม่ ๆ ของเรา ไม่ยึดติดอยู่กับภาพเดิม ๆ เพราะ 4-5 เรื่องที่ผ่านมาบทบาทที่ผมได้เล่นในบทบาทที่หลากหลายคาแรกเตอร์เพราะฉะนั้นการเล่นเรื่องใหม่เราก็ต้องทำให้คนดูเชื่อกับตัวละครใหม่ของเรา ซึ่งก็ต้องทำการบ้านมากขึ้นกว่าเดิม เพื่อให้มันแตกต่างจากบทที่เราเคยได้รับ ตรงนี้ผมจะเดินไปถามพี่สมรักษ์ตลอดว่าละครเรื่องนี้เป็นอย่างไรบ้าง พี่สมรักษ์ก็บอกว่าดีเรื่องสามีตีตราก็ต่างจากซิกเซ้นส์ที่เราเคยเห็น แค่นี้เราก็ดีใจแล้ว คือมันก็ไม่ได้ซ้ำกับภาพเก่า ๆ ที่เราเคยเล่นไว้”

“เหมือนจริง”
ล่าสุดเรื่องสามีตีตราคนจะแซวว่าท็อปเล่นเป็นตัวเอง หลายคนบอกว่าไม่เคยเห็นท็อปเล่นบทแบบนี้?

“คือไม่ก็ไม่ใช่ชีวิตจริงขนาดนั้นครับ คือมันก็เป็นบทบาทในละครครับ”

แต่ถ้าจะเล่นได้ดีมันก็ต้องมีส่วนบ้าง?

“ไม่หรอกครับ ถ้าถามว่ามันใกล้เคียงกับตัวจริงไหม ผมว่าทุกคนเวลาที่ต้องไปเล่นเป็นตัวละครไหนมันก็ต้องดึงเอาประสบการณ์ที่ตัวเองเคยเจอเอามาปรับใช้กับตัวละคร แล้วส่วนของคุณศิวา พี่แอ้วเขาก็บอกผมว่าอยากให้ตัวละครดูเด็ก อยากให้ดูสดใส เราก็เลยเอาความปัญญาอ่อนของเราใส่เข้าไปเพื่อให้มันดูสดใส เพื่อบิลต์ตัวเองคือ ถ้าดูจริง ๆ ตัวละครตัวนี้จะมีหลายแง่มุมเวลาอยู่กับสายน้ำผึ้งก็จะเป็นเพล์บอยเจ้าชู้สุด ๆ แต่เวลาอยู่กับคนที่เขารักอยู่กับคุณก้อยเขาก็จะเป็นคนน่ารักอีกแบบหนึ่งไปเลย มันเลยทำให้ดูมีสีสันในตัวเขา ถามว่าใกล้กับผมไหมก็ใกล้ในบางมุมครับ ในมุมที่อยู่กับก้อยมันก็ใกล้ เพราะเราก็เป็นคนสนุกสนาน เพียงแต่ตัวจริงอาจจะไม่ใช่แบบเขาเลย คือ เราก็จะมีบ้างที่สนุกสนานเฮฮาเวลาที่อยู่กับเพื่อน”

ในชีวิตจริงเป็นคนยิงมุกอะไรแบบนี้ไหม?

“ไม่มีเลยครับ ผมเป็นคนไม่ตลก ถ้าถามว่ามีมุมขำ ๆ ไหม ก็มีแบบกวน ๆ แกล้งกันบ้าง แต่ไม่ใช่แบบหัวโจกที่เป็นคนยิงมุก แต่ไม่ใช่ว่าจะแบบเปิดมุกมาแล้วมีคนเล่นต่อ ส่วนมากจะมีคนเปิดมาแล้วเราไหลตามมากกว่า”

จริง ๆ เป็นคนแบบไหน นิ่ง ๆ เหรอ?

“ก็ไม่ถึงกับนิ่ง แต่ผมเป็นคนชอบฟัง ส่วนใหญ่จะตามน้ำกับคนอื่นเขาไปมากกว่า ส่วนตัวเราเป็นคนแบบเฉย ๆ ยิ้มง่ายขำง่ายแต่ไม่มีมุกอะไรเยอะ”

“วันว่าง”
อยู่บ้านว่าง ๆ ชอบทำอะไร?

“แล้วแต่บางวันมากกว่า ถ้าว่างมากก็จะออกกำลังกาย แต่ถ้าว่างไม่มากก็จะนอนดูทีวีหรือไม่ก็อ่านหนังสือ”

ได้ข่าวว่ายังขึ้นรถไฟฟ้าอยู่?

“ใช่ ๆ ผมขึ้นรถไฟฟ้าตลอด ปกติดาราเขาไม่ค่อยขึ้นกันเหรอ ถ้าถามว่า มีคนมาทักทายไหมก็มีทักทายบ้าง แต่พอคุณศิวาออนเขาก็มองกันมากขึ้น เราก็ต้องก้มหน้าก้มตาเล่นโทรศัพท์ไปบ้าง ไม่อย่างนั้นก็จะไปถึงจุดหมายปลายทางของเราช้ากว่าปกติ แต่ก็ไม่ซีเรียส คือจริง ๆ เราต้องดีใจที่มีคนจำได้และขอถ่ายรูปเรา”

“มุมมอง”
มุมมองในวงการเปลี่ยนไปไหม?

“ผมว่าเป็นใครก็ต้องเปลี่ยน ตอนนี้ก็รู้แล้วว่ามันไม่ได้ง่ายอย่างที่เราคิด คือมันไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบอย่างที่เราคิด กว่าจะเข้ามาได้ กว่าจะขึ้นมาอยู่จุดนี้ได้มันก็ไม่ใช่เรื่องง่าย การที่จะอยู่ให้มันยาวและมีคนรักมันเป็นเรื่องที่ยากมาก แม้กระทั่งการไปงานอีเวนต์เราจะต้องทำตัวยังไง การตอบคำถามก็เป็นสิ่งที่ยากมากเวลาที่สื่อมารุมสัมภาษณ์ เราจะพูดยังไงให้เขาชอบ แต่เราก็จะต้องพูดในสิ่งที่ถูกต้องด้วย ผมรู้สึกว่ามันต้องคิดเยอะมาก จากที่เมื่อก่อนเราคิดว่าเราเป็นคนติสต์ คือ ผมก็เป็นคนอย่างนี้อยู่แล้ว เป็นคนตรง ๆ ชอบก็บอกว่าชอบ ไม่ชอบก็บอกว่าไม่ชอบ เราใช้ชีวิตแบบไหนเราก็บอกไป แต่สุดท้ายแล้วบางครั้งมันก็ไม่ได้ อย่างที่ผมเคยบอกไปว่าผมเจ้าชู้ ผมก็โดนด่า คนก็ถามว่าเราจะไปบอกเขาทำไม คือโดยทั่วไปด้วยความที่เป็นคนไทย ยังไงก็ต้องชอบผู้ชายที่เป็นคนดี ต้องเป็นแบบพระเอกในละคร แต่เราก็รู้สึกว่ามันไม่ใช่ตัวเราคือผมก็มองว่าผู้ชาย 80-90% ก็เจ้าชู้อยู่แล้ว ไม่งั้นมันก็ไม่ใช่ผู้ชาย ส่วนจะเจ้าชู้แบบไหนมันก็แล้วแต่ผู้หญิงจะตัดสินใจ ผมก็เลยแบบโอเคคุณตัดสินใจแล้วกันว่าผมเจ้าชู้แบบไหน ตอนนี้ผมยอมรับไว้ก่อน ในอนาคตผมไม่รู้จะเป็นแบบไหน อย่างตอนนี้ถ้าผมจะมีแฟนอย่างน้อยผู้หญิงก็ต้องรับรู้ว่าผมเจ้าชู้นะ เพราะฉะนั้นถ้าจะคบกันคุณก็ต้องรับได้กับความเจ้าชู้ของผม เราเองคิดแบบนี้แต่ในแง่ของผู้ใหญ่เขาก็คิดอีกแบบหนึ่งซึ่งเราก็เข้าใจ แต่มันได้พูดไปแล้วเอาคืนไม่ได้ เราก็ต้องขอโทษผู้ใหญ่ด้วย ตรงนี้มันเลยทำให้เรารู้ว่าคำพูดเราในวันนี้มันส่งผลถึงอนาคตในวันข้างหน้าของเรา กลายเป็นว่าคำพูดของเรากลายเป็นคำพูดที่มีอิทธิพลต่อสังคม”

มีหลักคิดยังไงที่จะอยู่ในวงการได้นาน?

“เรารู้สึกว่าเราต้องทำผลงาน คือ ด้วยการทำงาน เรามีหน้าที่ต้องรับผิดชอบอยู่แล้ว นอกจากนี้ก็ต้องตรงต่อเวลา ทำการบ้านมาก่อน และต้องเต็มที่กับทุกงานที่ออกไป ที่สำคัญต้องกตัญญูกับผู้ใหญ่ที่ให้โอกาสเรา อีกอย่างคือเราต้องรักษาโอกาสที่มีคนมอบให้ต้องทำให้ดีที่สุด และต้องรักษาชื่อเสียงของเราและดูแลพฤติกรรมของเราให้ดีที่สุด เพราะมันไม่ใช่แค่เราคนเดียวมันเป็นเรื่องที่เซ็นซิทิฟมาก มันมีผลถึงคนรอบข้างเรา สิ่งที่สำคัญที่สุดผมว่าคำพูดและพฤติกรรมมันเป็นตัวอย่างที่เราสามารถทำให้คนขึ้นหรือลงได้”

“ความรัก”
มุมมองความรัก?

“จริง ๆ ผมว่าความรักมันเป็นเรื่องของคน 2 คน ที่ต้องทำความเข้าใจกันให้มากที่สุด อะไรจะเกิดขึ้นมันก็คือประสบการณ์ของคนคนนั้น”

ถ้ามีแฟนจะเปิดไหม?

“เปิดครับ ผมว่ามันเหนื่อยมากที่ต้องปิดบัง อย่างเช่นถ้าเวลาไปออกอีเวนต์แล้วนักข่าวมาสัมภาษณ์ในสิ่งที่มันไม่เป็นความจริง มีข่าวกับคนนั้นคนนี้เราแค่บอกปฏิเสธยังเหนื่อยเลย ถ้ามีจริง ๆ ก็บอกไปเถอะ แล้วมันจะจบภายในวันนั้น”

ถ้ายังไม่มั่นใจจะเปิดไหม?

“ก็เขินนะ ถ้าผู้หญิงเขายอมเป็นแฟนก็คงไม่เป็นไร ก็คงเปิดไปเลย”

แล้วตอนนี้มีหรือยัง?

“ยังครับ”

คิดว่าการเป็นดาราต้องไม่มีแฟนหรือเปล่า?

“ไม่เกี่ยวครับ ดาราสมัยนี้มีแฟนกันเยอะ อย่างคู่ของ อเล็กซ์ เรนเดลล์ กับ เต้ย-จรินทร์พร ก็น่ารักมาก หลายคู่เราดูแล้วเรายังอิจฉา เราเห็นแล้วแบบรู้สึกว่าทำไมเราไม่มีแฟนแบบนี้บ้าง เราก็อยากมีโมเมนต์แบบที่ไปเที่ยวกันบ้าง มีเพื่อนคอยให้คำปรึกษากัน อย่างหลาย ๆ คู่ที่เราเห็นเขาก็เป็นคนในวงการ เพราะฉะนั้นก็มีเรื่องอะไรก็จะคุยกันเข้าใจ”

ตอนนี้ยังไม่รู้จะจีบใคร ยังปิดตัวเองอยู่หรือเปล่า?

“ไม่ปิดครับ จริง ๆ ผมเปิดมาก ตอนนี้ก็มีมาคุย ๆ บ้าง แต่ก็รู้จักกันมานานแล้ว เป็นเพื่อนกัน แต่คือด้วยเวลาและจังหวะในชีวิตมันยังไม่ใช่ เราก็เป็นเพื่อนกันไป คุย แชร์เรื่องราวต่าง ๆ ผมว่าแบบนี้มันสบายใจกว่า”

คือตอนนี้อยากทำงานก่อน?

“ผมว่าก็ใช่ส่วนหนึ่ง ผมรู้สึกว่าตัวเองยังไม่แข็งแรงพอที่จะไปโฟกัสเรื่องความรัก แต่ก็ไม่ได้ปิดกั้น แต่มองว่ามันเป็นเรื่องที่คาดเดาลำบาก มันเป็นเรื่องของพรหมลิขิต และไม่มีใครรู้ว่าวันนี้จะมีแฟนหรือเจอคนที่โดนใจ แต่แบบนี้ผมเจอแล้วปล่อยผ่านไปบ่อย”

ตอนนี้เลือกอะไรก่อน?

“เลือกงานครับ”

พอทุกอย่างลงตัวแล้วค่อยเอาเวลาไปคิดอย่างอื่น?

“ก็ยังไม่รู้ว่าจะลงตัวเมื่อไหร่ เราเป็นคนที่แบบว่าอยากสร้างตัวเองให้ดีก่อน แล้วค่อยอยากมีครอบครัว เพราะทุกวันนี้ก็ยังไม่ได้มีอะไรมากมาย ถ้าไปจีบสาวแล้วไม่มีอะไรไปจีบเลยก็ดูแบบยังไง ๆ อยู่”

หรือจะมองหาผู้หญิงที่มีพร้อมทุกอย่าง?

“คือจริง ๆ ผมว่าเรื่องไหนก็ไม่สำคัญ เท่าความเข้าใจซึ่งกันและกันของเรา 2 คน”

ถูกใจสาว ๆ กันเป็นแน่แท้กับหนุ่มฮอตของเราคนนี้ ส่วนเสาร์หน้าแน่นอนว่าเราจะกลับมาพบกันอีกครั้งแน่นอน.