Inside Dara
“ริชชี่” จากนักกีฬา มาเป็น “อังศุมาลิน”

ช่วงนี้ไปไหนมาไหนต้องเรียกว่า “คู่กรรม” ฟีเวอร์จริง ๆ เพราะมีทั้งหนังและละครที่ออกมาพร้อมกัน แต่ที่ถูกจับตามองมากที่สุดคงจะเป็น “อังศุมาลิน” เวอร์ชั่นหนังที่มาประกบพระเอกสุดฮอตแห่งปี “ณเดชน์ คูกิมิยะ” เพราะมีแต่คนถามถึงเด็กผู้หญิงคนนี้ว่าเธอเป็นใคร ทำไมถึงได้รับบท “อังศุมาลิน” และในวันนี้เราจะแนะนำให้ทุกคนรู้จักสาวน้อยคนนี้ “ริชชี่” หรือ “อมราวดี ดีคาบาเลส” สาวน้อยหน้าใส ในบท “ฮิเดโกะ” ที่หลาย ๆ คนอยากรู้จักเธอ ซึ่งตอนนี้เธอพร้อมที่จะมานั่งพูดคุยกับเราถึงเรื่องราวต่าง ๆ รวมถึงการถ่ายหนังเรื่องแรกในชีวิตของเธอด้วย

ริชชี่ เข้ามารับบท อังศุมาลิน ได้ยังไง?

“ก็เพราะว่าพี่เอ-ศุภชัย คุยกับคุณแม่ บอกว่าให้มาแคสดู แล้วตอนนั้นไม่ได้บอกด้วยว่าเรื่องอะไร ก็ไปลองแคสกับพี่เรียว (ผู้กำกับ คู่กรรม) ดู เสร็จแล้วก็กลับบ้าน ไม่ได้รู้ว่าแคสเรื่องอะไรไปแล้วพอสักพักหนึ่ง พี่เรียวก็โทรฯ กลับมาบอกว่าให้ไปเวิร์กช็อปค่ะ”

ช่วงที่ถ่ายหนังกระทบการเรียนไหม เห็นว่าริชชี่ เรียนอยู่เชียงใหม่?

“ไม่กระทบมากค่ะ ก็ไป ๆ มา ๆ คือ ริชชี่ เรียนหนักไปแล้วตอน ม.4 ม.5 เพื่อใช้เกรดเรียนต่อมหาวิทยาลัย ตอนนี้ริชก็ได้โควตาที่ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย คณะวิทยาศาสตร์ แล้วค่ะ ก็เลยขอที่โรงเรียนมา ซึ่งโรงเรียนก็สนับสนุน ก็เลยมาถ่ายหนังได้ค่ะ”

ก่อนจะคุยกันเรื่องงาน ขอทำความรู้จักกับตัวจริงริชชี่เสียหน่อย ริชชี่คิดว่าตัวเองเป็นคนยังไง?

“หนูเป็นคนเฉย ๆ นิ่ง ๆ อย่างเวลาไปแข่งกีฬา เพื่อน ๆ ก็จะบอกว่าริชเป็นคนนิ่งมาก ๆ ดูไม่ออกว่าคิดอะไร ดูไม่ออกว่าเหนื่อยไม่เหนื่อย บางทีตีไปเซต 3 แล้วนักกีฬาบางคนเขาจะแสดงออกให้กรรมการเห็นว่าเหนื่อยมาก แต่หนูจะนิ่ง ๆ ทุกคนดูไม่ออกว่าหนูรู้สึกอะไรอยู่ เหนื่อยหรือไม่เหนื่อย”

แล้วอะไรที่ทำให้เรายิ้มได้ หรือว่าหัวเราะได้?

“ก็เวลาที่อยู่กับครอบครัว อยู่กับเพื่อนสนิท อยู่กับพี่กับแม่ บางทีก็เล่นกันตลก ๆ ก็มีหัวเราะบ้าง”

ริชชี่ เป็นนักกีฬาแบดมินตัน ริชชี่มีเป้าหมายในการตีแบดไหม?

“ตอนซ้อมโค้ชก็จะมีเรียกมานั่งคุยเหมือนกัน เขาเป็นโค้ชจีน เขาจะบอกว่าผมสอนลูกศิษย์ ผมอยากให้ลูกศิษย์มีเป้าหมาย เขาจะถามว่าแต่ละคนมีเป้าหมายยังไง เพื่อนหนูก็บอกว่าเขาอยากพัฒนาขึ้น โค้ชก็ด่าเลยว่าถ้าอยากพัฒนา ก็ซ้อมแค่จันทร์ถึงศุกร์พอ เสาร์ อาทิตย์ ไม่ต้องมาตีเกม ผมเชื่อว่าถ้าอยากพัฒนาแค่ตีก็พัฒนาอยู่แล้ว ถ้าไม่ได้อยากเป็นนักสู้ ไม่อยากจะเป็นนักกีฬาที่อยากแข่งแล้วชนะ ฟังแล้วก็อึ้งกันไป แล้วพอมาถึงหนู หนูก็บอกโค้ชหนูไปว่า หนูอยากเป็นแชมป์โลก (หัวเราะ) หนูไม่เว่อร์อะไรนะ โค้ชหนูก็บอกว่าฝันไกลไปมั้ง เอาแค่เป็นแชมป์ภูมิภาคให้ได้ก่อน (หัวเราะ) ตอนนี้หนูก็เป็นนักกีฬาเขต เป็นแชมป์ 18 ปีภาคเหนือค่ะ”

ตอนนี้เข้าวงการบันเทิงแล้ว จะทิ้งวงการกีฬาหรือเปล่า?

“หนูเข้ามหาวิทยาลัยเป็นโครงการนักกีฬา เข้าไปเรียนก็ต้องมีซ้อมต่อเนื่อง แล้วก็เล่นให้จุฬาฯ ส่วนเรื่องทีมชาติตอนนี้ก็ยังไม่ได้แน่นค่ะ เพราะว่าคุณแม่อยากให้แน่นการเรียนมากกว่า แม่ขอให้เป็นนักกีฬาเขต เยาวชน และนักกีฬามหาวิทยาลัยก็พอแล้วค่ะ

ส่วนเรื่องวงการบันเทิงถ้ามีงานต่อเนื่องก็ต้องแบ่งเวลาให้ดี เวลาเรียน เวลาซ้อม เวลาทำงาน เพราะว่าตอนอยู่เชียงใหม่ก็ซ้อมหนักมากและเรียนหนักด้วย คุณแม่ก็บอกต้องแบ่งเวลาให้ได้ เพราะถ้าแบ่งเวลาได้หนูจะทำอะไรก็ได้”

การเป็นนักกีฬากับการเป็นนักแสดง มันต่างกันไหม?

“หนูว่าหนูได้แสดงเรื่องนี้ เพราะว่าหนูเป็นนักกีฬา พี่เอบอกว่าในเรื่องนี้ตัวละครจะต้องมีความแข็งแรง ความอดทน พี่เอไปเจอหนูตอนตีแบดอยู่ เขาบอกว่าเขาเห็นหนูมีความตั้งใจ คิดว่านางเอกที่พี่เออยากได้จะต้องเป็นคนที่แบบ แข็งแรง เข้มแข็ง เพราะว่าในเรื่องมันจะโหดมาก ต้องวิ่งหลบระเบิด ต้องขึ้นสลิงหนัก ๆ เลยอยากให้หนูลองดู หนูเลยคิดว่าด้วยความที่หนูเป็นนักกีฬามันก็ช่วยหนูในเรื่องนี้ด้วย เพราะบางทีต้องเจออะไรที่หนักมาก ๆ ทุกคนจะมาถามว่าหนูไหวไหม หนูบอกว่าซ้อมแบดมาหนักกว่านี้อีกค่ะ

ส่วนเรื่องการแสดงกับการแข่งกีฬา มันก็เหมือนกันนะหนูว่า อย่างการแสดงมันก็ต้องมีเวิร์กช็อป เวิร์กช็อปก็เหมือนการฝึกซ้อม แล้วพอวันถ่ายจริงก็เหมือนวันแข่งกีฬา เหมือนตอนซ้อม หนูก็ซ้อมเต็มที่แล้วพอวันถ่ายจริงก็เต็มที่กับมัน ไม่ได้คิดถึงอะไร”

จำความรู้สึกที่ไปกองถ่ายวันแรกได้ไหม ตอนนั้นเป็นยังไงบ้าง?

“ตื่นเต้นนิดหน่อยค่ะ ก็คิดไปว่าบรรยากาศในกองถ่ายจะเป็นยังไง ก็เกร็ง แต่พี่เรียวเขาจะยกซีนที่จะถ่ายวันแรกมาให้หนูซ้อมก่อน บอกว่าจะเล่นยังไง เหมือนทำให้อยู่ในบรรยากาศจริงเลย ซ้อมเป็น 10 รอบเลยค่ะ แล้วพอไปอยู่ในที่จริงก็เหมือนที่ซ้อมมาก็โอเคเลย เลยทำให้ไม่ได้เครียด ไม่ได้เกร็งมาก”

แล้วเจอ พี่ณเดชน์ วันแรก เป็นไง?

“คือหนูเคยได้ยินเพื่อนพูดถึง พี่ณเดชน์ คือหนูเองไม่ค่อยได้มีโอกาสดูทีวี เพราะชีวิตประจำวันหนูคือ ตื่นเช้าไปเรียน เลิกเรียนก็ซ้อมถึง 4 ทุ่ม กลับมาถึงบ้านก็ต้องทำการบ้าน บางวันก็ทำการบ้านถึง ตี 1 ตี 2 แล้วเช้ามาก็ไปเรียนอีก ชีวิตเป็นอย่างนี้แทบทุกวัน เลยไม่ได้ดูทีวีเลย เลยไม่รู้จักพี่เขา แต่เห็นครั้งแรกก็มีแบบคุ้น ๆ หน้า หนูก็กลับไปบอกแม่ แม่หนูคุ้น ๆ กับพี่เขา เหมือนเคยเจอมาก่อน สุดท้ายก็มานึกออกว่า หนูเคยเห็นพี่เขาตามป้ายโฆษณา คือปกติถ้าเจอใครครั้งแรกหนูก็จะนิ่ง ๆ เพราะหนูเป็นคนขี้กลัวคนที่ไม่รู้จัก และเป็นคนขี้อายมาก ๆ แต่กับพี่ณเดชน์ เจอกันครั้งแรกหนูไม่กลัวพี่เขา มันเหมือนคุ้น ๆ เป็นเพราะว่าเราเห็นพี่เขาตามป้าย ตามหน้าเซเว่นแทบทุกวันนั่นเอง (ยิ้ม ๆ)”

เวลาเข้าฉาก มีเขินไหม?

“ไม่เขินค่ะ เพราะว่าพี่เขาเป็นกันเองมาก เขาเข้ามาทักทาย ทำความคุ้นเคย ทำให้เราไม่เกร็ง และเวลาแสดงพี่เขาก็จะคอยสอน อย่างบางซีน คือหนูเป็นคนหลับตาไม่สนิท แล้วกล้องจะโฟกัสมาที่เรา มันเป็นซีนที่ง่ายมาก แต่มันเป็นซีนอารมณ์ของพี่เขา หนูแค่หลับตาเฉย ๆ แต่มันทำไม่ได้เพราะว่าหลับตาแล้วยังเห็นตาขาว หนูก็ตายแล้วทำไงดี พี่ณเดชน์ เขาก็จะสอนบอกว่า เปิดตาแล้วค่อยหลับตาเบา ๆ ตอนนั้นกังวลเพราะว่าพี่เขาเล่นผ่านแล้ว แล้วมาติดอยู่ที่หนู แต่พี่เขาก็บอกไม่ต้องเครียด เขาไม่ดุเลย”

ตอนนี้หลงเสน่ห์หนังแล้วหรือยัง?

“ก็ไม่เคยคิดเหมือนกันนะคะว่าจะได้เข้ามาเล่นหนัง ไม่คิดว่าตัวเองจะทำได้ เพราะแค่ไปแสดงหน้าห้อง หรือว่าพูดหน้าชั้น หนูยังทำไม่ได้ ขนาดเพื่อนตัวเองในห้องหนูยังเขิน แต่พอมาเล่นหนังเรื่องนี้ ก็รู้สึกดีใจหนูทำได้ อย่างวันสุดท้ายที่ถ่าย พี่เรียวบอกว่าริชชี่ ซีนสุดท้ายแล้วนะ คือก่อนหน้านี้หนูจะแบบ ถ่ายไปก็แอบคิดถึงบ้านไปอยากกลับบ้านแล้ว แต่พอวันนั้นพอพี่เรียวบอกซีนสุดท้ายแล้ว หนูรู้สึกแบบไม่อยากกลับเลย คิดถึงพี่ ๆ ก็เศร้านิดหนึ่ง”

เอาละ คำถามสุดท้าย ถ้าเปลี่ยนวรรณกรรม อยากให้โกโบริตายไหม

“ถ้าแก้บทวรรณกรรมได้ หนูอยากให้อังศุมาลินตายแทน (หัวเราะ) ดูภายนอก ถ้าใครดูจะคิดว่าเขาเป็นคนใจร้ายมาก ตอนที่หนูยังไม่ได้มาเล่นเอง แค่อ่านหนูก็คิดว่าอังศุมาลิน ใจร้ายมาก ไม่ชอบอังศุมาลินเลย แบบตอนโกโบริตายมานั่งร้องไห้ หนูก็คิดว่ามาร้องไห้อะไรตอนนี้ สงสารโกโบริมาก ไม่น่ามารักผู้หญิงคนนี้เลย

แต่ตอนมาเล่นเอง ทำให้รู้ว่าความจริง อังศุมาลิน น่าสงสารมาก ๆ และโกโบริเอง เป็นต่างชาติที่โชคดีมาก ที่แสดงออกความรักได้ทุกอย่างเลย แต่ อังศุมาลิน รักโกโบริเหมือนกันแต่แสดงออกไม่ได้ ต้องเก็บทุกอย่าง และแสดงออกในสิ่งที่ตรงกันข้ามกับหัวใจตัวเองตลอด ซึ่งมันทรมานมาก ๆ น่าสงสาร แต่พอตอนจบเขาได้อิสระ เขาก็จะไปบอกรักโกโบริแล้ว โกโบริก็มาตาย จริง ๆ แล้วอังศุมาลิน น่าสงสารมาก ๆ นะคะ”

บทพิสูจน์ของสาวน้อยคนนี้ตอนนี้ได้เริ่มขึ้นแล้ว ในโรงภาพยนตร์วันนี้กับภาพยนตร์ “คู่กรรม” ดาวดวงใหม่ดวงนี้จะเกิดได้หรือไม่อยู่ที่คุณ ๆ แล้วล่ะ